วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผลงานหน้า1 หนังสือพิมพ์ที่ได้รับรางวัลดีเด่น รางวัลพิราบน้อย ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย


แฉขวนการปั่นกระแสโซเชี่ยล มีเดีย

ภาพชี้แจงวงจรการปั่นกระแสสินค้า



แฉขวนการปั่นกระแสโซเชี่ยล มีเดีย เหตุพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เชื่อกูรูออนไลน์ “พันทิป”ยอมรับ แก็งสร้างกระแสมาแรง แจงลงโทษได้แค่ยึดล๊อคอิน “มีเดียมอร์นิเตอร์” จวกกม.ไทยอ่อน แนะหน่วยงานสอดส่องโฆษณาอีแอบ


ผู้สื่อข่าวหอข่าวได้สำรวจการใช้งานเว็บไซด์สังคมออนไลน์ หรือโซเชี่ยล มีเดีย (Social Media) พบว่ามีการนำเสนอเนื้อหารูปแบบหนึ่ง ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในแต่ละสังคมออนไลน์ คือการแนะนำผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ โดยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ยอมรับในสังคมออนไลน์หรือ ผู้มีอิทธิพล (Influential) จนเกิดกระแสความนิยมสินค้าบางชนิดมากจนเกิดปรากฏการณ์สินค้าขาดตลาด (อ่านเพิ่มเติมจากบทล้อมกรอบ “ ทำความรู้จัก Social Media” )



จากการที่ผู้สื่อข่าวเฝ้าติดตามบรรดาเว็บไซด์โซเชี่ยล มีเดีย ยอดนิยมของคนไทย อาทิเช่น pantip, mulitiply ,twitter, bloggang เป็นต้น พบว่า มีเนื้อหาไปในทางการสร้างกระแสให้เกิดความนิยม และสนใจสินค้าบริการมากขึ้นจนผิดปกติ ผู้สื่อข่าวจึงได้ติดต่อไปยังผู้ให้บริการ เว็บไซด์ โซเชี่ยล มีเดีย ต่าง ๆ เพื่อขอข้อมูล


ผู้บริโภคชี้เชื่อเว็บก่อนตัดสินใจซื้อ


นางสาวนาถหทัย อวยพร นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ตนเองเป็นคนที่นิยมหาข้อมูลสินค้าก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ โดยจะมีการเข้าเว็บไซด์ต่าง ๆ เช่น pantip,pramool,Jeban เป็นต้น เพราะเห็นว่าในเว็บต่าง ๆ จะมีคนที่เคยใช้มาบอกเล่าประสบการณ์ และมีผู้เชี่ยวชาญมาตอบคำถาม


“เดี๋ยวนี้ หากจะซื้ออะไรซักอย่างเพื่อความแน่ใจก็เปิดเว็บดูรีวิวก่อนเป็นอันดับแรก สบายใจได้แน่นอนค่ะเพราะคนเขาใช้ก่อนมาบอกต่อ ” นางสาวนาถหทัย กล่าว


ด้านนางสาวสุโรจนา ไข่มุกข์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า โดยปกติจะเข้าเว็บFacebook.com เป็นประจำ เพื่อเล่นเกม และสื่อสารกับกลุ่มเพื่อน นอกจากนี้ก่อนจะตัดสินใจซื้อสินค้า จะหาข้อมูลทั้งด้านบวกและด้านลบ จากเว็บบอร์ดต่าง ๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ ล่าสุดตนตัดสินใจซื้อรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง ที่ผิดจากที่ตั้งใจไว้เดิม เพราะยี่ห้อที่ตั้งใจจะซื้อแต่แรก มีคนเขียนไว้ว่าไม่ดี และผู้เชี่ยวชาญในเว็บหลายคนบอกเป็นส่วนใหญ่ว่ายี่ห้อหนึ่งนั้นดีกว่า


ด้านนายเชลงพจน์ ภูมาศ อาชีพเภสัชกร เปิดเผยว่า ตนจะตัดสินใจซื้อสินค้าในปัจจุบัน จำต้องมีข้อมูลจากหลาย ๆ ด้าน ในอดีตจะใช้ข้อมูลจากคนใกล้ตัว หรือคนรู้จักที่เคยใช้มาบอกให้ฟัง แต่ปัจจุบันหากจะซื้อสินค้าหรือบริการสักอย่าง ก็เกรงใจที่จะโทรถามคนสนิทที่เคยใช้จึงเลือกที่จะไปโพสต์ถามในเว็บสังคมออนไลน์ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญคอยตอบอยู่และยังมีคนที่เคยใช้มาแสดงความคิดเห็นให้อีกด้วย เช่น Pantip,Bloggang,Exteen,Multiply


“มันเป็นเรื่อง สะดวกมากครับ อยากได้อะไรสักอย่างถ้าไม่แน่ใจในคุณภาพก็จะไปโพสต์ถามในเว็บ รอนิดเดียวก็มีคนมาช่วยตอบแล้ว ดีตรงที่ไม่ต้องไปรบกวนคนอื่นเขา” เชลงพจน์ กล่าวทิ้งท้าย




พันทิปฯ ชี้ปั่นกระแสสินค้ามีจริง


นายวรพจน์ หิรัญประดิษฐกุล ผู้ประสานงานฝ่ายเว็บบอร์ด(Webboard Co-ordinator) ของเว็บไซด์เว็บพันทิป ดอทคอม (pantip.com) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีการปั่นกระแสสินค้าโฆษณาบนเว็บไซด์โดยเฉพาะเว็บบอร์ดจริง โดยจะมีการโพสต์หรือนำเสนอข้อความที่เหมือนการแนะนำสินค้า ประเภทใช้ดี แล้วบอกต่อ หรือที่เรียกกันว่า การรีวิว (Review)สินค้า จนเกิดกระแสให้นักท่องเว็บ ที่ศึกษาหาข้อมูลบนเว็บบอร์ด สนใจ คลิกเข้ามาดู จากนั้นนักปั่นกระทู้ จะมีการแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม โดยใช้ชื่อล๊อคอิน (Login)ที่เปลี่ยนไป ทำให้เกิดกระแสคนเข้ามาติดตามอย่างมากมาย ส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้า




นายวรพจน์ กล่าวต่อว่า กรณีนี้ทางเว็บพันทิป จะมีการดูแลอย่างเข้มงวด และจะมีการลงโทษบรรดานักปั่นกระทู้เหล่านี้โทษสถานหนักคือการยึดชื่อผู้ใช้ล๊อคอิน (Login)นั้นไป ทั้งนี้นอกจากจะมีเจ้าหน้าที่ที่พันทิปจัดไว้ดูแลแล้ว ยังมีบรรดานักท่องเว็บคอยสอดส่องและแจ้งเบาะแสแก่ผู้ดูแลอีกด้วย


นักปั่นรับ ปั่นกระทู้ทำจริง ได้เงินจริง


แหล่งข่าว ผู้ทำงานด้านการดูแลระบบเว็บบอร์ด ของเว็บไซด์ชื่อดังของไทย แห่งหนึ่ง เปิดเผยข้อมูลและเบาะแสของกลุ่มผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นนักปั่นกระแสในกระทู้สินค้าบนเว็บบอร์ดว่า สินค้าที่มีการสร้างกระแส บนเว็บบอร์ดหรือ โซเชี่ยล มีเดีย ต่างๆนั้นจะพบในกลุ่มสินค้าประเภท เครื่องสำอาง ร้านอาหาร และเครื่องดื่มประเภทเบียร์ โดยจะมีการสร้างกระแสหลายรูปแบบ ทั้งการนำเสนอประสิทธิภาพของสินค้าผ่านบรรดากูรูผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านแล้วยังมีประเภทใช้ภาพถ่ายให้เห็นบรรยากาศร้านอาหาร ตลอดจนการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆเช่น จัดกิจกรรมชิมอาหารฟรี จัดกิจกรรมร่วมฝึกถ่ายภาพ ร่วมกิจกรรมประกวดต่าง ๆ เป็นต้น โดยจะมีการสร้างระบบบันทึกบทความออนไลน์(Personal Journal) หรือ เว็บบล็อก(Web blog)เพื่อเพิ่มรายละเอียดสินค้า บริการ ภาพบรรยากาศ และคำบรรยาย


แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีการสร้างกระแสละคร ภาพยนตร์ โดยการตั้งหัวข้อกระทู้เพื่อแสดงความน่าสนใจของละคร ภาพยนตร์นั้น ๆ โดยมีหน้าม้า ซึ่งเป็นทีมงานที่จะใช้ชื่อล๊อคอินไม่ซ้ำกันมาโพสต์แสดงความคิดเห็น ให้มีปริมาณมากจนติดอันดับกระทู้แนะนำในเว็บบอร์ดเพื่อแสดงถึงความนิยม วิธีการการตรวจสอบบรรดานักปั่นกระทู้นั้นทำได้โดยง่ายคือ ตรวจสอบหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์(IP Address) ของบรรดารายชื่อผู้โพสต์ที่หลากหลายนั้น จะมาจากหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์เดียวกัน (อ่านเพิ่มเติมจากบทความ “นักสืบออนไลน์ เบาะแสเด็ดสู่ข่าวสืบสวน”)


สร้างกระแส 300 คนในกระทู้เดียว


ผู้สื่อข่าวเฝ้าสังเกตการณ์ พฤติกรรมของบรรดานักโพสต์กระทู้ในเว็บpantip ที่ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวพบว่าส่วนใหญ่ชื่อผู้ใช้งาน (Username) ตามข้อมูลที่แหล่งข่าวแนะนำมามักโดนลบออกจากระบบเว็บไซด์แล้ว เพราะผู้ดูแลเว็บและสมาชิกตรวจสอบแล้วเห็นว่าน่าจะเป็นข้อมูลโฆษณาแฝง และสร้างกระแสของสินค้า


ผู้สื่อข่าวยังพบอีกว่า มีการใช้ เว็บpantip ห้องเฉลิมไทย เพื่อแนะนำละครจากค่ายละครแห่งหนึ่ง ตามที่แหล่งข่าวแนะนำมาจริง จากหัวข้อกระทู้ละครเรื่องดังกล่าว มีผู้ติดตามแสดงความเห็นกว่า 300 คน ในหัวข้อเดียว เป็นที่น่าสังเกตว่า บรรดาคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นล้วนมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับหัวข้อที่ตั้งไว้ เช่นขึ้นหัวข้อกระทู้ว่า “นาย..(ชื่อตัวละคร)กับนาย... (ชื่อตัวละคร) ดีกันแล้ว ตอนนี้เปิดดูด่วน” ในเนื้อหาที่มีคนมาตามก็จะเขียนต่อว่า “ซึ้งมากที่นาย... (ชื่อตัวละคร) บอกว่าจะดูแลกันและกันตลอดไปแล้วตอนต่อไป นาย... (ชื่อตัวละคร)จะตอบยังไงน๊า รีบมาดูตอนนี้เร็ว ๆ ” หัวข้อกระทู้เหล่านี้จะมีการแสดงความเห็นอย่างจำนวนมาก จนถึงขนาดขึ้นเป็นกระทู้แนะนำของห้องสนทนาและต้องขึ้นหัวข้อสนทนาใหม่ ในเรื่องเดียวกัน และมีการนำข้อมูลกิจกรรมพิเศษของละคร มาเสนอ เช่น “วันศุกร์นี้ เราจะไปทำบุญกับนาย...และนาย...ขอให้ทุกคนมาเจอกันที่อนุสาวรีย์ฯ ตอน 7.00 น. ” โดยลักษณะความเห็นก็จะมีตามมาในลักษณะสนับสนุน เช่น “เราจะไปร่วมงาน เพื่อแสดงคว ามรักบริสุทธิ์ระหว่างชายกับชาย”



ขณะที่อีกหัวข้อกระทู้หนึ่งที่พูดถึงภาพยนต์ที่กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนต์ติดต่อกันหลายวัน ในลักษณะที่คนที่ไปดูมาแล้วดี เช่นขึ้นหัวข้อ กระทู้“ไปดูมาแล้วหนังเรื่อง...ฉากทะเล กับท้องฟ้าสวยมาก ดูแล้วมีความสุข อยากให้ทุกคนพาคนที่รักกันไปดู” โดยที่หัวข้อเหล่านี้ถูกนำเสนอขึ้นจำนวนมาก และติดต่อกัน จนสมาชิกในเว็บบอร์ด เริ่มสังเกตว่า เป็นการปั่นกระแส จนเกิดกระแส ต่อต้านตามมา จนมีคำสั่งจากทางเว็บบอร์ดว่าห้ามมีการโพสต์หัวข้อเกี่ยวกับภาพยนต์เรื่องดังกล่าวโดยเด็ดขาด



นอกจากนี้ผู้สื่อข่าว “หอข่าว” ยังพบว่าบน เว็บ multiply ซึ่งเป็นเว็บแชร์ภาพของสมาชิกคนหนึ่ง ที่แสดงลิงค์ไว้ในเว็บบอร์ดห้องก้นครัว pantip มีการแสดงภาพถ่ายบรรยากาศในร้านอาหาร เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกภาพ ล้วนมีสัญลักษณ์ยี่ห้อเบียร์บริษัทหนึ่งปรากฏอยู่อย่างชัดเจนทีมผู้สื่อข่าวจึง ใช้ข้อมูลคือที่อยู่อีเมลล์(E-mail Address) เพื่อติดต่อขอข้อมูลจากเจ้าของ



“เมเม่” ช่างภาพอิสระ เจ้าของเว็บภาพคนดังกล่าวซึ่งล่าสุดถูก เว็บ pantip ลบข้อมูลในเว็บบอร์ดออกเนื่องจากทางเว็บไซด์เห็นว่าข้อมูลที่โพสต์เข้าข่ายโฆษณา ยอมให้ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 26ธันวาคม 2552ว่า ตนเป็นช่างภาพอิสระ ที่รับจ้างชิมอาหารตามร้านต่าง ๆ และเก็บภาพมาเขียนติชม บนเว็บบอร์ดได้รับค่าจ้างครั้งละ 2,000-3,000 บาทโดยต้องส่งเว็บเพจหน้าที่ลง กลับไปให้เจ้าของธุรกิจ เพื่อแสดงผลงาน นอกจากนี้ตนได้เข้าร่วมกิจกรรมกับทางบริษัทผลิตเครื่องดื่มประเภทเบียร์ยี่ห้อหนึ่ง โดยทางบริษัทจัดกิจกรรมพิเศษชักชวนช่างภาพ ให้ส่งรูปเข้าประกวด เพื่อจะได้โอกาสเข้าร่วมกิจกรรม ชิมอาหารและเบียร์ฟรี พร้อมเงินรางวัล โดยจะต้องมีการถ่ายรูป เพื่อไปลงในเว็บบอร์ดพร้อมเขียนบรรยายบรรยากาศ นอกจากนี้ตนยังทำหน้าที่ ในการช่วยประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัทเบียร์ผ่านโซเชี่ยล มีเดีย ต่าง ๆ
กูรูมือถือพุ่งเป้านักท่องเว็บ

นายชัยวัฒน์ ฉันทสกุลเดช หรือที่รู้จักกันในนามCookieCompany (คุ๊กกี้คอมพานี)ชื่อผู้ใช้งานบนเว็บบอร์ด pantip ในฐานะผู้เชี่ยวชาญหรือกูรูด้านสัญญาณและโทรศัพท์มือถือ เปิดเผยว่า ช่องทางการโฆษณาบนเว็บบอร์ด ถือเป็นช่องทางที่บริษัทโทรศัพท์มือถือหลายรายให้ความสนใจ โดยบริษัทเหล่านี้จะพุ่งเป้าไปที่ บรรดานักท่องเว็บ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญและและมีชื่อเสียงโด่งดังหรือกูรู ที่มีผู้ติดตามงานเขียนบนเว็บบอร์ดจำนวนมาก โดยบริษัทเหล่านี้จะมอบสินค้าเช่นโทรศัพท์มือถือ ให้บรรดา กูรูหรือผู้เชี่ยวชาญ ทดลองใช้ฟรี และมอบกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของแก่บรรดากูรูเหล่านั้น เพื่อแลกกับการ เขียนข้อความ หรือบทความบนเว็บบอร์ด และคอยตอบคำถามแก่ นักท่องเว็บอื่นที่สนใจสินค้านั้น



คุกกี้คอมพานี ยังกล่าวต่อว่า บางบริษัทมือถือติดต่อมายังบรรดากูรูโดยตรง ขณะที่บางบริษัทเลือกที่จะติดต่อผ่านบริษัทผู้แทนโฆษณา หรือเอเจนซี่ และบริษัทเอเจนซี่จะเป็นผู้ติดต่อสืบหากูรูมาทำงานตามเป้าหมาย โดยช่วงที่ตนเป็นที่นิยมบนเว็บบอร์ด และคนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ ในงานเขียนบนเว็บบอร์ด ช่วงเวลานั้นสามารถสร้างรายได้เป็นเงินหลักแสนบาทต่อเดือน ซึ่งขณะนั้นยังศึกษาอยู่ระดับมหาวิทยาลัยชั้นปีที่2เท่านั้น



ด้านนายนันทพงศ์ จงประทีป นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 โรงเรียนเตรียมอุดมพัฒนาการ กรุงเทพมหานคร ให้ข้อมูลว่าตนเป็นกูรู ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนในด้านโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็มีบริษัทมือถือ ติดต่อมาให้ทดลองใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ที่กำลังจะวางตลาด โดยให้กรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของเครื่อง เพียงแค่ไปเขียนรายละเอียดสนับสนุนเกี่ยวกับเครื่องที่ใช้ ลงบนเว็บไซด์ โซเชี่ยล มีเดีย ต่างๆ และคอยเพิ่มข้อคิดเห็นต่างๆ แก่ผู้สนใจ นอกจากนี้ ตนยังมีหน้าที่นำ เว็บไซด์ ที่เป็นรายละเอียดของสินค้ามา โพสต์ไว้เพื่อให้ผู้สนใจติดตามต่อในเว็บบล็อก และเว็บของบริษัทเจ้าของสินค้า



นายนันทพงศ์ กล่าวต่อไปว่า เมื่อได้รับเครื่องโทรศัพท์มือถือมา ก็จะนำไปขายต่อในราคาหลายหมื่นบาท เพราะเป็นเครื่องรุ่นใหม่สภาพดี นอกจากนี้ ชื่อผู้ใช้งานบนเว็บ โซเชี่ยล มีเดีย ของตนยังสามารถสร้างรายได้ให้ตัวเองได้ คือเมื่อมีบริษัทใดที่ต้องการเปิดเว็บไซด์แนะนำสินค้าก็จะติดต่อให้ตนไปเขียนข้อมูลลงในเว็บไซด์ และให้นำเว็บลิงค์นั้นไปโพสต์บนเว็บบอร์ด หรือเว็บอื่นที่มีผู้สนใจติดตามชื่อผู้ใช้ของตน



นายกฯโฆษณา ชี้ปั่นไม่ผิดถ้าไม่เกินจริง

ด้านนายวิทวัส ชัยปาณี นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน โซเชี่ยล มีเดีย ถือว่าน่าสนใจในมุมมองนักโฆษณา แม้ปัจจุบันผลวิจัยจะชี้ว่า มีประชากร 12ล้านคน ที่นิยมเสพข้อมูลทาง โซเชี่ยล มีเดีย แต่เชื่อว่าภายในเวลา 3ปีข้างหน้า ประชากรส่วนใหญ่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลบนโลกอินเตอร์เน็ทเพิ่มขึ้นมหาศาลอย่างแน่นอน



นายวิทวัส กล่าวอีกว่า การทำโฆษณาแฝงบน โซเชี่ยล มีเดีย ถือว่าไม่เป็นเรื่องผิด หากแต่ต้องพิจารณา ที่เนื้อหาว่าบิดเบือนความจริง และบรรยายสรรพคุณเกินความจริงหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าผิดจรรยาบรรณนักโฆษณา แต่เพราะขอบเขตของจรรยาบรรณโฆษณาไม่อาจควบคุมถึง เพราะมีจำนวนนักโฆษณาหลายคน ที่ไม่รู้ถึงจรรยาบรรณเหล่านี้ และมีอีกหลายคนที่รู้แต่ก็เจตนาทำ จึงยากที่การควบคุมทางจรรยาบรรณโฆษณาจะดูแลได้ทั้งหมด



มีเดียมอนิเตอร์ จวก กฎหมายไม่เข้มพอ



นายธาม เชื้อสถาปนศิริ ผู้จัดการกลุ่มงานวิชาการ โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม( MEDIA MONITOR: MM )หรือมีเดีย มอนิเตอร์ กล่าวว่า กรณีการโฆษณาแฝงบน โซเชี่ยล มีเดีย ต้องพิจารณาที่ตัวสารว่าบิดเบือน หรือหลอกลวงหรือไม่ ซึ่งหากเป็นกรณีเช่นนี้ก็ถือว่าผิดในเรื่องของจริยธรรมทางธุรกิจ



นายธาม กล่าวต่อว่า ปัจจุบันกฎหมายประเทศไทย ยังไม่ครอบคลุมเรื่องการโฆษณาแฝงบนโซเชี่ยล มีเดีย ซึ่งถือเป็นความล้าหลังของกฎหมายไทย โดยหากเป็นการทำโฆษณาแฝงเช่นนี้ในต่างประเทศ จะมีความผิดตามกฎหมาย เพราะต่างประเทศจะมีหน่วยงานคอยดูแลสารโฆษณาบนเว็บไซด์ ให้มีการแยกออกอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้บริโภครู้ได้อย่างชัดเจน



“...การปนกันของข้อมูลที่เป็นจริง กับข้อมูลลวงที่เป็นสารโฆษณาถือว่า เป็นการไม่ยุติธรรมต่อผู้บริโภค...”
ผู้จัดการวิชาการฯ กล่าว







ล้อมกรอบข่าว : ทำความรู้จัก Social Media



Social Media มันคืออะไร ?Social Media ก็คือสังคมออนไลน์ ที่มีการสื่อสารผ่านการเขียนเล่าเนื้อหาเรื่องราว ประสบการณ์ บทความ หรือการแบ่งปัน รูปภาพ วิดีโอ ที่ผู้ใช้เขียนและจัดทำขึ้นเอง หรือพบเจอมาจากสื่ออื่นๆ แล้วนำมาแบ่งปันให้กับผู้อื่นที่อยู่ในเครือข่ายของตน ผ่านทางเว็บไซต์ Social Network ที่ให้บริการ ปัจจุบันการสื่อสารแบบนี้ จะทำผ่านทาง Internet และโทรศัพท์มือถือเท่านั้น โดยที่เนื้อหาของ Social Media จะถูกนำเสนอในหลายรูปแบบ ทั้ง กระดานความคิดเห็น (Discussion boards), เว็บบล็อค (Weblogs), วิกิ (wikis), Podcasts, รูปภาพ และวิดีโอ ส่วนเทคโนโลยีที่รองรับเนื้อหาเหล่านี้ก็รวมถึง เว็บบล็อค (Weblogs), เว็บไซต์แชร์รูปภาพ, เว็บไซต์แชร์วิดีโอ, เว็บบอร์ด, อีเมล์, เว็บไซต์แชร์เพลง, Instant Messaging, Tool ที่ให้บริการ Voice over IP เป็นต้น


5 อันดับเว็บ Social Media ยอดนิยมเมืองไทย



1. Facebook
2. hi5
3. Blogger.com(blogger.com)
4. hi5.com (facebook.com)
5. exteen (exteen.com)
(ข้อมูลจากเว็บไซด์จัดอันดับ: http://www.alexa.com/)




ผู้มีอิทธิพล(Influential) บนSocial Media



แต่เดิม Influentialในโลกโฆษณานั้นคือการนำเสนอสินค้าใดสินค้าหนึ่ง ให้ประชาชนสนใจ โดยจะต้องมีการให้ผู้ที่เป็นที่เชื่อถือยอมรับในเรื่องนั้น ๆ ออกมาบอกหรือสนับสนุนว่าสินค้านี้ดีจริง Influential ยังรวมถึงคนใกล้เคียง ที่เป็นที่รู้จักมักคุ้นมาบอกเล่าถึงสินค้า หรือบริการที่เคยใช้มาว่าดีจริง





เหล่านี้จะมีผลให้ผู้บริโภคเชื่อตาม และยอมซื้อสินค้า หรือบริการ มาใช้ ผู้มีอิทธิพล(Influential) ที่คุ้นเคยอีกรูปแบบหนึ่งคือ "เซเลบริตี" (Celebrity) นิยามของ เซเลเบริตี หมายถึง บุคคลมีชื่อเสียง เช่น ดารา นางแบบ ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะถูกนำมาเป็นตัวแทนของผู้ที่เคยใช้สินค้าและบริการ และบอกว่ามันดี และให้ข้อมูลสนับสนุนให้คนทั่วไปสนใจซื้อ ด้วยภาพลักษณ์ที่บรรดาเซเลบริตีมี คือคนที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จึงย่อมส่งผลต่อความน่าเชื่อถือตามไปด้วย



ปัจจุบัน Influential ถูกนำมาใช้บน Social Media ผู้มีอิทธิพลบน Social Media คือคนใกล้ชิดในสังคมออนไลน์ มีการสื่อสารกันผ่านการพูดคุย บนช่องทางต่าง ๆ ซึ่งสำหรับคนที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็จะมีการแบ่งปันความรู้แก่กัน ขณะที่บางคนเป็นเพียงผู้มีทักษะทางภาษาดี เขียนข้อความต่าง ๆ อย่างน่าเชื่อถือ โดยอาจไม่ต้องมีความเชี่ยวชาญก็ได้ บุคคลเหล่านี้เมื่อกลายเป็น Influential บน Social Media ก็จะเป็นที่นิยมและมีผู้ติดตามจำนวนมาก เมื่อเกิดข้อสงสัย หรือไม่แน่ใจ บุคคลเหล่านี้จะกลายเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญที่น่าไว้ใจ หรือ กูรู ในทันที และจะทรงอิทธิพลในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในที่สุด



ใครรู้จัก กูรู บนโลกออนไลน์บ้าง...


กูรู เดิมนั้นมาจากภาษา สันสกฤต เป็นคำทับศัพท์ หมายถึง ครู หรือ อาจารย์ ซึ่งในศาสนาพราหมณ์ฮินดูนั้น มาจากปรัชญาความเชื่อในความสำคัญของการเข้าถึงความรู้ โดยมี กูรู หรือ อาจารย์เป็นผู้ชักนำไปสู่จุดสูงสุด กูรูบนโลกออนไลน์ คือ บรรดาผู้สนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเฉพาะ และศึกษาเรื่องนั้นจนมีความเข้าใจจนลึกซึ้งในระดับหนึ่ง จากนั้น ก็จะนำความรู้ที่ตนมีมาเผยแพร่บน Social Media จนมีผู้สนใจมาติดตามความรู้เป็นแฟนคลับของกูรูรายนั้น ๆ


กูรู ทำอะไรบน Social Media


เมื่อ บรรดากูรู โด่งดัง จนเป็นที่รู้จักสังคม Social Media แล้ว ก็จะมีบริษัทผู้ผลิตสินค้า มาติดต่อ เพื่อร่วมทำธุรกิจด้วย โดยจะมีการเสนอผลตอบแทนให้ หากมีการเขียนข้อความเป็นลักษณะสนับสนุนสินค้าหรือบริการในทางบวก โดยจะมีเงื่อนไขกูรู จะต้องมาตอบ ข้อสงสัยในทางบวกแก่ผู้สนใจ โดยจะต้องไม่ให้ผู้สนใจเหล่านั้นรู้ว่าเป็นการโฆษณา หรือการเชียร์สินค้า บางครั้งจะมีทีมงานที่มาจากบริษัท หรือทีมของกูรู มาสร้างคำถามในเชิงเปิดทาง หรือมาแสดงความคิดเห็นนทางบวกเพิ่มเติมจำนวนมาก ทำให้ข้อมูลนั้นมีจำนวนคนสนใจมาก และคนทั่วไปที่ท่องอยู่บน Social Media ก็จะสนใจ จนเกิดกระแสความคลั่งใคล้ในสินค้า และบริการนั้น

กูรู กับการ รีวิว


นอกจากนี้บรรดากูรู ก็จะมีการสร้างข้อมูลแนะนำสินค้า โดยจะชี้ให้เห็นความแตกต่างก่อนและหลังการใช้สินค้านั้น ว่าหลังใช้ส่งผลดีอย่างไรจนทำให้ผู้สนใจผลิตภัณฑ์เหล่านั้นตัดสินใจซื้อตาม
เครื่องมือการทำงานของกูรู เนื่องจากบรรดากูรูต่างโด่งดัง มาจาก Social Media แต่ด้วยข้อจำกัดของ เว็บ Social Media บางเว็บที่ไม่สามารถตกแต่งให้สวยงามหรือน่าสนใจ เช่น twitter ,webboard .. แต่เว็บเหล่านี้กลับมีผู้ใช้บริการมาก และกูรูเองก็โด่งดังมาจากเว็บเหล่านี้ ดังนั้น เพื่อสนับสนุนการทำงาน บรรดากูรูจึงใช้ เว็บไซด์เหล่านี้เป็น “เว็บประตู” และจะเขียนข้อมูล แบบไม่ละเอียดมาก จากนั้นจะทิ้ง ลิงค์ของเว็บไซด์ Social Media ที่เป็นรายละเอียดเอาไว้ ให้คนตามต่อ เช่น เว็บส่วนตัว, เว็บบล๊อค, เว็บไดอารี่ เป็นต้น

กูรูได้อะไรเป็นผลตอบแทน

หลังจากที่กูรูบางคนได้รับการว่าจ้างจากบริษัทผู้ผลิต หรือ บริษัทเอเจนซี่แล้ว ผลตอบแทนของกูรู นั้นมีหลายรูปแบบ บางรายจะได้รับสินค้ามาทดลองใช้ และยกสินค้านั้นให้เป็นสิทธิของ กูรู เช่น โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ขณะที่บางรายจะได้ค่าตอบแทนเป็นเงิน โดยจะต้องส่งงานเป็นหน้าเว็บที่ได้ทำการรีวิว เขียนเชียร์ ไปให้ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างก็จะประเมินค่าจ้างจากจำนวนคน ที่เข้ามาถาม อ่าน หรือเปิดดู

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โรงเรียนติดแบรนด์

ลูก เหมือนดินน้ำมันในมือของบุพการี เป็นดินน้ำมันที่ทั้งพ่อและแม่ต้องช่วยกันปั้นขึ้นมาด้วยความรัก ความเอาใจใส่ และความพอดี หากมีฝีมือ จากดินน้ำมันก้อนเล็กๆ ก็คงจะต่อยอดเป็นงานศิลป์อันสวยสดให้พ่อแม่ได้ชื่นอกและผู้อื่น้ร่วมชื่นชม แต่หากไร้ซึ่งฝีมือและความพอดี สุดท้าย ดินน้ำมันก้อนนั้น คงแหลกเละคามือ จนแทบไม่เหลือชิ้นดี


การนำพาลูกไปสู่สังคมอันดีพร้อมในทุกสิ่ง ล้วนเป็นสิ่งที่พ่อแม่ในทุกครอบครัวต่างกระทำ และไม่ว่าใครก็คงใฝ่ฝันที่จะเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาอันมีชื่อเสียงและมั่นใจได้ว่ามีคุณภาพคับแก้ว โรงเรียนนับเป็นหนึ่งสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ล้วนต้องคัดกรอง แต่หากคัดกรองเพียงสิ่งที่ พ่อแม่ คิดว่าดีโดยไม่ได้มองถึงจิตใจของเหล่าลูกหลานแล้ว บางครั้งสิ่งดีนั้นอาจแปรเปลี่ยนลูกน้อยไปจนกู่ไม่กลับ แต่หากว่าการคัดกรองนั้นเกิดจากการตริตรองโดยคนทั้งสองฝั่งด้วยดี ผลลัพธ์ที่ได้คงนำมาซึ่งรอยยิ้มจากหัวใจ


การเลือกโรงเรียนหรือสถานศึกษาสักแห่งให้แก่ลูกหลาน ดูจะเป็นเรื่องใหญ่และต้องใช้การตัดสินใจอย่างมากทีเดียว เพราะหากเลือกผิดคงไม่ต่างกับการส่งลูกหลานเข้าสู่ปากของ เสือ สิง กระทิง แรด ดังจะเห็นได้จาก ข่าวเสียๆหายๆเกี่ยวกับการศึกษาในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ข่าวอาจารย์ข่มขืนลูกศิษย์ที่ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆไม่เคยว่างเว้นจากหน้าหนังสือพิมพ์ ข่าวนักเรียนยกพวกตีกัน หรือข่าวที่สะเทือนขวัญเด็กนักเรียนไปทั่วประเทศเมื่อหลายปีก่อนกับข่าว นส. จิตรลดา ตันติวณิชยสุข มือมีดที่บุกเข้าไปไล่แทงเด็กๆถึงในโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ และล่าสุดกับข่าวของ นส.อริสรา ทองบริสุทธิ์ หรือ ดิว ดาราวัยรุ่นชี่อดัง ที่มีคลิปหลุดตบนักเรียนรุ่นน้องจนใหล่หลุด เมื่อสมัยที่ยังเรียนมัธยมในโรงเรียนติดแบรนด์แห่งหนึ่งย่านบางรัก สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เรารับรู้ว่าโรงเรียนไม่ใช่สถานที่ ที่พ่อแม่จะสามารถฝากฝังบุตรหลานให้อยู่ในการดูแลได้อย่างปลอดภัยเต็ม100 ได้อีกแล้ว


หยดน้ำตา


“เขาร้องให้แล้วเดินมาบอกพี่ว่า ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากทำการบ้าน คุณครูดุ เขากลัว เขาอยากอยู่บ้าน ”

คุณเก๋ หญิงสาววัย 34 คุณแม่ของลูกชายวัย 6 ขวบ กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ เธอส่งลูกชายวัย เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เธอกล่าวว่าโรงเรียนแห่งนี้เธอตระเวนเลือกให้กับลูกชายกว่า2อาทิตย์ ด้วยหวังว่าจะเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดสำหรับลูกชายของเธอ แต่สุดท้ายเพียงแค่1เทอมที่เข้าเรียน ลูกชายตัวน้อยก็เริ่มโยเยเสียแล้ว


“วันหนึ่ง ตอนเขากำลังกินข้าวเช้า เขาก็พูดว่าไม่อยากไปโรงเรียน วันนี้หยุดได้ไหม ก็บอกว่าไม่ได้ น้องโอมจะหยุดเรียนทำไม ไม่เอาไม่หยุดหรอก เขาก็เลยเงียบไม่พูดอะไรอีก ก็ไปสตราท์รถเปิดแอร์เตรียมไว้ให้เขา เขาร้องให้หนักเลยแล้วเดินมาบอกว่าไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากทำการบ้าน คุณครูดุ เขากลัว เขาอยากอยู่บ้าน ก็ตกใจ โอมเป็นอะไร ? ”


เมื่อน้ำตาของลูกน้อยหลั่งริน ผู้เป็นแม่จึงต้องค้นหาความจริง “ อีกวันก็เลยบอกให้โอมลองไปโรงเรียนดูไหม ตอนกลับบ้านจะพาไปเที่ยวบ้านเพื่อน เขาจึงยอม วันนั้นพี่ก็เลยแอบๆยืนดูครูเขาสอนก่อนกลับบ้าน ก็ตกใจ สอนยากภาษาอังกฤษบางคำพี่ฟังยังงงเลย แต่นี่เด็ก 6ขวบเรียน! สุดท้ายเลยให้เขาออกจากที่นี่เพราะ สงสาร ไม่เอาแล้ว ร้องไห้ไปโรงเรียนทุกวัน”


ในความเป็นจริงแล้ว คงไม่มีพ่อแม่คนไหนต้องส่งลูกไปโรงเรียนด้วยน้ำตานองหน้า แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ลูกน้อยจะได้รับกลับมาแล้ว หลายครอบครัวจึงต้องทำใจยอมรับกับสิ่งเหล่านี้ให้ได้
“เอาจริงๆเลยนะ ไม่ใช่เรียนที่นั่นไม่ดี ภาษาอังกฤษน้องก็ดี พูดได้เป็นประโยคๆ เด็กแถวบ้านยังพูดไม่ได้เลย อาจารย์ก็ดีสมกับที่เขาเป็นโรงเรียนดัง ถึงค่าเรียนจะแพง แต่เขาก็พยายามยัดให้ลูกเราเยอะเหมือนกัน ตอนพาย้ายออกเสียดายมาก แต่เห็นเขาร้อไห้แล้วเราก็สงสาร”


จากมองมุมครู


น.ส.สุภาณี รักษาสุข อาจารย์จากโรงเรียนเอกชนย่านบางซื่อ กล่าวว่า “อาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้มาเกือบ2ปีแล้ว และได้สอนพิเศษหลังเลิกเรียนด้วย มีผู้ปกครองพาเด็กนักเรียนที่มีอาการออทิสติก(อาการของผู้ที่มีพัฒนาการทางสมองช้า) มาเรียนด้วย อาจารย์ตกใจเหมือนกันเพราะรู้สึกว่าการเรียนพิเศษกับเด็กออทิสติกอาจารย์มองว่าเยอะเกินไป เพราะอาจารย์สอนพิเศษภาษาจีน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เด็กปกติยังเรียนเข้าใจได้ยากมาก การทำแบบนี้เหมือนพยายามยัดให้เขามากเกินไป จริงๆไม่น่าพาเขามาเรียนรวมกับเด็กธรรมดาด้วยซ้ำ แต่อาจารย์ปฏิสธเขาไปไม่ได้ เขาก็คงอยากให้ลูกสาวเก่ง มีความสามารถเหมือนเด็กคนอื่นๆ ถึงจะเป็นเด็กที่มีอาการออทิสติกก็ตาม”



เช่นเดียวกับ น.ส. ธิติพร สุทธิบริบาล อาจารย์จากสถาบันสอนพิเศษ Be Top ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนพิเศษของเด็กอนุบาลว่า สอนด็กๆกลุ่มละประมาณ20คน หากถามว่าเร็วไปไหมกับการพาเด็กมาเรียนพิเศษตั้งแต่ยังเรียนอนุบาล มองว่า อยู่ที่ตัวเด็กมากกว่า ถ้าหากว่าเด็กรับได้ เรียนได้เราก็รับ
“สมัยก่อนเคยสอนเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเขาไม่ชอบไปโรงเรียนเพราะโดนเพื่อนแกล้งตั้งแต่อยู่อนุบาล1 แม่เขาต้องให้ลูกหยุดเรียนไปเกือบ2อาทิตย์ จึงพามาเรียนพิเศษที่นี่ เพราะแม่เขากลัวว่าลูกจะสอบเข้าโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ไม่ได้ แม่เขาอยากให้เข้าที่นี่มากเพราะเขาเคยเรียนที่นี่จึงอยากให้ลูกได้เรียนด้วย และเนื่องจากได้ยินมาว่าข้อสอบยาก จึงบังคับลูกสาวมานั่งเรียนกับเราทุกวัน เห็นแล้วก็สงสาร สุดท้ายต้องบอกแม่เขาว่าน้องไม่น่าจะไหว น่าจะให้หยุดเรียนก่อน เพราะน้องซึมมากไม่คุยกับใครเลย” ครูธิติพรให้ข้อมูล
เพราะโลกมันเปลี่ยนไป


“ แป๊ะเจี๊ย ” อีกหนึ่งหนทางทำเงินของทั้งโรงเรียนเอกชนและรัฐบาล ปีละกว่า1,000ล้านบาท คือจำนวนเงินที่พ่อแม่ต้องเสียให้แก่โรงเรียนชื่อดัง เพื่อให้ลูกกลานได้เข้าเรียนสมใจ ว่ากันว่าบางโรงเรียนเรียกเก็บเงินตั้งแต่กรอกใบสมัคกันเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังไม่รวมค่าเรียนพิเศษ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ ค่ากิจกรรมพิเศษ ที่ล้วนแล้วแต่ดูดสตางค์ในกระเป๋าจนตัวเบา


เมื่อโรงเรียนเรียกเก็บเงินกับเหล่าเยาวชนของชาติไม่ต่างกับปลิงตัวอ้วนกลม ที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อมานานหลายปี เด็กๆที่ต้องเติบโตในสังคมที่ใช้เงินเป็นที่ตั้งและเป็นหลักประกันคุณภาพในทุกสิ่งรอบตัว จะเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังของชาติในอนาคตเช่นไร หากนึกไม่ออกคงต้องลองเปิดดูประชุมสภาหรือข่าวการเมืองตามหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆสักครั้ง...


ด้าน นายประยูร มัยโภคา ผู้อำนวยการกลุ่มงานโรงเรียนสามัญ สำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กล่าวถึงกรณีการรับเข้าของโรงเรียนเอกชนซึ่งมีปัญหาในการรับเงินใต้โต๊ะ ว่าการเสียแป๊ะเจี๊ยนั้นอยู่ที่ความพึงพอใจของผู้ปกครอง เรียกว่าการรวมทุนสนับสนุนกับทางโรงเรียนเพื่อให้โรงเรียนมีความโดดเด่น เพราะโรงเรียนรัฐบาลมีทุนจำกัด แต่ว่าโรงเรียนเอกชนต้องขยายอาคารสถานที่ มีสื่ออุปกรณ์การเรียนการสอน ผู้ปกครองยินดีสนับสนุน โรงเรียนประเภทนี้จะโดดเด่น และส่วนมากจะเป็นโรงเรียนในเครือคาทอลิก หรือโรงเรียนที่เป็นเจ้าขุนมูลนายเดิม ที่ตั้งในเครือสำนักพระราชวัง


“ตอนนี้ถึงยุคของการแข่งขันแล้ว ทุกโรงเรียนถ้าผู้บริหารนั่งอยู่กับที่คงก้าวไม่ทันโรงเรียนอื่น เพราะโรงเรียนเอกชนที่อยู่ได้ต้องมีคุณภาพเท่านั้น ส่วนโรงเรียนเอกชนที่ไม่มีคุณภาพไม่มีทางสู้โรงเรียนของรัฐได้ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าใน กทม. เชียงใหม่เขามักจะส่งลูกหลานเข้าเรียนโรงเรียนเอกชน เพราะว่าเขากำกับดูแลใกล้ชิด โรงเรียนเอกชนเจ๊งได้ ส่วนรัฐบาลไม่มีเจ๊ง โรงเรียนเอกชนใดที่สอนแล้วเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้ โรงเรียนเอกชนที่ดังๆจะเห็นได้ว่าผู้บริหารอยู่โรงเรียนตั้งแต่เช้าถึงเย็น บางท่านกินนอนที่โรงเรียนเลย” นายประยูร กล่าว


โรงเรียนติดแบรนด์หรือใกล้บ้าน?


เมื่อมองอีกด้าน แม้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายจะรู้ทั้งรู้ว่าหากนำลูกหลานมาเรียนที่โรงเรียนต่างๆเหล่านี้จะต้องเสียเงินมากมาย เรียกว่าค่าใช้จ่ายต่อเทอมหนึ่งๆเกือบแสน หรือบางที่เมื่อรวมค่ากิจกรรมต่างๆก็คงจะหลายแสนเสียด้วยซ้ำ แต่พ่อแม่ก็ยังต้องการให้ลูกหลานได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดังต่างๆอยู่เช่นเดิม เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?


“จบจากเซนต์โยเซฟคอนเเวนต์ค่ะ เหตุผลที่เลือกเรียน จริงๆตอนที่เข้า ก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกค่ะ แม่อยากให้เข้า เคยถามแม่ว่า ทำไมอยากให้เข้าที่นี่ แม่บอกว่า เพราะสังคมดี การเรียน เรื่องวิชาการการันตีได้ เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง อยู่ใกล้บ้านค่าเทอมไม่แพง เพราะเซนต์โยค่าเทอมแค่หลักพันต้นๆ ส่วนข้อดีจริงๆที่เห็นชัดๆเลยก็คือ สังคมที่ดี แล้วก็เรื่องการสอบแอดมิชชั่น ก็การันตีผลได้ค่อนข้างดี ในขณะที่ โรงเรียนรัฐบาลเองก็มีคนเก่ง แต่เปอร์เซ็นเทียบกันแล้ว เรารู้สึกว่าไม่ได้การันตีขนาดนั้น”
นี่คือความคิดเห็นของ คุณ เอ(นามสมมุต) สาวน้อยที่ได้ผ่านการศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนติดแบรนด์ ย่าน บางรัก เซนต์โยเซฟคอนเเวนต์


อย่างไรก็ตามจาการสำรวจความคิดเห็นของผู้ปกครองและเหล่าเยาวชน ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจากเว็บไซต์ WWW.PANTIP.COM ในคำถาม “คุณจะลือกโรงเรียนแบบใหนให้แก่ลูกหลาน?” ทำให้เรารู้ว่า มนุษย์ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แล้วว่า ควรมอบสิ่งใดให้แก่คนที่ตนรัก แต่ท้ายที่สุด ส่วนลึกของจิตใจยังคง พยายามที่จะยืนให้สูงกว่าคนอื่นๆในสังคมอยู่เสมอ


จากผลโหวตเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2552 ทำให้เราได้รับรู้ว่า สังคมได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อผลโหวตแสดงให้เห็นว่า จาก130คนของผู้ร่วมโหวต มีถึง 56.92 % หรือ 74 คนที่โหวตเลือกการเรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งนับเป็นอันดับ1จาก3อันดับ แต่เมื่อเหลือบมองที่อันดับที่ 2 ก็ทำให้เรารับรู้ว่า ชื่อเสียงและความโด่งดังช่างหอมหวานและยั่วยวนเสมอ กับ 33.85 %หรือ 44คน และอันดับ3กับโรงเรียนเอกชนสุดหรู แม้จะรั้งท้าย แต่อย่างไร ก็ยังคงมีอิทธิพลต่อไปไม่เสื่อมคลาย ที่ 9.23% 12 คน
ลูกมีค่ามากกว่าโรงเรียนติดแบนรด์


จะมีทางเป็นไปได้หรือไม่หากเราต้องการให้สถานศึกษาทั่วประเทศ มีหลักสูตรที่เท่าเทียม? อาจเป็นคำถามที่รู้อยู่แก่ใจของใครหลายคน หรือเป็นคำตอบที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า “ไม่มีทาง”


ด้วยหวังว่า คำพูดและความคิดของ นาย อำนวย โสตะวงค์ คุณพ่อของลูกสาววัย5ขวบ จะเป็นพลังเล็กๆ
และตรงสู่กลางใจของผู้คน กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมของเรา ตลอดไป


“ลูกสาวตัววุ่นวายของผม 5 ขวบ อยู่อนุบาล 2 ผมกับภรรยากำหนดไว้ว่าเมื่อเธอเข้า ป.1 จะให้เข้าโรงเรียนใกล้บ้านที่เดินไปได้ในเวลา 5 นาที แม้จะมีกำลังทรัพย์พอจะส่งให้เธอเข้าโรงเรียนเครือคาธอลิคที่มีชื่อเสียงได้โดยไม่เดือดร้อน แต่ผมกับภรรยาเห็นว่ามันไม่คุ้มกันกับการต้องบีบให้ลูกสาวตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้า งัวเงียมาแต่งตัว กินอาหารและสัปหงกในรถ สลึมสลือไปเข้าเรียน เช่นเดียวกับต้องทรมานกับรถติดช่วงเย็นกว่าจะกลับถึงบ้าน โรงเรียนที่เธอเข้าเป็นโรงเรียนเอกชนเล็กๆ ธรรมดา เดินได้ภายใน 5 นาที เธอสามารถตื่นเจ็ดโมงเช้าสบายๆ อาบน้ำแต่งตัว เล่นกับพ่อแม่ ทานอาหารเช้าที่บ้านกับพ่อแม่ เดินไปโรงเรียนพร้อมคุณแม่ที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน ตกเย็นพ่อก็มารับแล้วกลับไปเล่นกับคุณตาคุณยายที่บ้าน เล่นกับหมาชิวาวาสามตัว ทานอาหารเย็นด้วยกัน ทำการบ้านกับพ่อแม่ ใช้ชีวิตพูดคุยกันจนเข้านอน สำหรับพ่อแม่ใกล้ชิดลูกมีค่าเกินกว่าค่านิยมเลิศหรูของโรงเรียนดังๆ มากนักครับ”


ปัจจุบันในเขตกรุงเทพมหานคร มีโรงเรียนทั้งหมด 1174 แห่ง โดยแบ่งเป็น โรงเรียนมัธยม สพฐ. 734 แห่ง โรงเรียนเอกชน 54 แห่ง โรงเรียนสาธิต 8แห่ง โรงเรียนนานาชาติ(รวมระดับอนุบาลและประถมวัย)82แห่ง และโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร 178 แห่ง นี่เป็นโรงเรียนทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานคร จะเห็นใด้ว่ามีอยู่มากมายและกระจายตัวอยู่ทั่วกรุงเทพมหานคร ท้ายที่สุดแล้วก็คงมีแต่คุณพ่อคุณแม่และลูกๆเท่านั้นที่จะเลือกและกำหนดชิวิตทางการศึกษาของตน


โรงเรียนเอกชนไม่ใช่สิ่งผิด โรงเรียนอินเตอร์ นานาชาติ ไม่ใช่สิ่งผิด โรงเรียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่ใช่สิ่งผิด ไม่มีสิ่งใดผิด หากใช้สติและปัญญาในการตัดสินใจ


การได้ยืนอยู่ในระดับที่เหนือกว่าผู้อื่นในสังคมดูจะเป็นสิ่งที่ยั่วยวนและหอมหวานสำหรับทุกคน มนุษย์พยายามผลักดันตัวเองให้สูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์แข่งขันกันในทุกเรื่องเท่าที่พวกเขาจะคิดได้ และมันเกิดขึ้นกับคนทุกวัย เด็กอนุบาลต้องเรียนในโรงเรียนที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์เสริมทักษะและติดแบรนด์ เด็กประถมต้องเรียนในโรงเรียนที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์พัฒนาความรู้และติดแบรนด์ เด็กมัธยมต้องเรียนในโรงเรียนที่โก้หรูมีชื่อเสียงและติดแบรนด์ ……..


สังคมปัจจุบันกำลังพยายามสร้างเยาวชนที่สมบูรณ์แบบนับตั้งแต่ที่พวกเขาลืมตาดูโลก แต่หารู้ไม่ว่าบางครั้งเยาวชนที่สมบูรณ์แบบจนเกินไปก็คงไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนตร์ที่ถูกส่งเข้าไปประกอบในโรงเรียนติดแบรนด์ แต่ลืมติดหัวใจของมนุษย์เข้าไปด้วย สุดท้ายเมื่อถึงขีดสุดแห่งความสมบูรณ์แบบในทุกสิ่งที่พยายามเติมเต็มให้แก่ตนเองอย่างไม่รู้จบ หุ่นยนต์เหล่านั้นก็คงจะพังด้วยเพราะเกินจะรับใหวและมันคงยากเกินจะเยียวยา


อย่าได้ผลักดันใครไปตามเส้นทางที่เราเคยใฝ่ฝัน แต่จงมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการเป็นกำลังใจให้คนที่คุณรักก้าวไปสู่สิ่งที่ฝั่นใฝ่ให้สำเร็จ ด้วยตนเอง……

แฟชั่นเลี้ยงปลาทะเลเถื่อน ขายเกลื่อนเจเจ

5 อันดับปลาทะเลยอดนิยม


ซากปลาสวยงามที่ตายเพราะน้ำมือมนุษย์

เส้นทางการจับปลาทะเลสวยงาม



แฟชั่นเลี้ยงปลาทะเลเถื่อน ขายเกลื่อนเจเจ “ดร.ธรณ์” แฉขบวนการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ระบุนายทุนจ้างชาวเลลักลอบจับกลางทะเล ยันผิดกฎหมายทำลายการท่องเที่ยว “แฟนพันธุ์แท้ปลาทะเล” เผยปลาถูกจับอัตราการตายสูง เหตุเพราะปลาเครียด วอนผู้เลี้ยงศึกษาให้ดีก่อนซื้อ “ผอ.ฝ่ายมาตรการกรมประมง” รับควบคุมการลักลอบจับปลาได้ไม่หมด บอกหน้าที่ไม่ได้มีอย่างเดียว


วัยรุ่นฮิตเลี้ยงปลาทะเล


ขณะนี้แฟชั่นการเลี้ยงปลาทะเลสวยงามกำลังเป็นที่นิยมกันมากในกลุ่มวัยรุ่นที่มีฐานะทางครอบครัวดีเนื่องจากการเลี้ยงปลาทะเลสวยงามใช้ทุนในการเลี้ยงค่อนข้างสูงและหาซื้อง่ายตามร้านค้าสัตว์เลี้ยงย่านสวนจตุจักรและในเว็บไซด์ ส่วนมากวัยรุ่นจะนิยมเลี้ยงพวกปลาการ์ตูน ปลาสิงโต ปลาผีเสื้อ และปลาตระกูลแทงค์ (Tang) อาทิ บลูแทงค์(Blue Tang )เยลโล่แทงค์ (Yellow Tang)
จากการลงพื้นที่สำรวจ สวนจตุจักรซึ่งเป็นแหล่งขายปลายอดนิยมที่ผู้เลี้ยงนิยมไปซื้อปลาทะเลสวยงาม พบว่า มีร้านค้าที่เปิดขายปลาทะเลสวยงามประมาณ 28 ร้านค้า ซึ่งแต่ละร้านจะมีขายปลาที่นำเข้าจากต่างประเทศ และสั่งจากทางใต้ของประเทศไทยโดยปลาที่มาจากต่างประเทศจะมีราคาสูงกว่าปลาในประเทศไทย



ผู้สื่อข่าวหอข่าวรายงานว่า การเลี้ยงปลาทะเลต้องมีการลงทุนสูงในด้านอุปกรณ์การเลี้ยง รวมทั้งการจัดสภาพแวดล้อมภายในตู้ให้เหมาะสมกับการเลี้ยงปลาทะเล อุปกรณ์ที่มีความจำเป็นต่อการเลี้ยงปลาทะเล เช่น ตู้ปลา สกิมเมอร์ (ตัวกรองเมือก) ชิลเลอร์ (ตัวทำความเย็นและควบคุมอุณหภูมิภายในตู้) อุปกรณ์ในการวัดค่าต่างๆ (ค่าความเค็มของน้ำ ค่าไนเตรท ไนไตร์ท และอุณหภูมิ) ไฟ แบ่งออกเป็นสองชนิด 1. หลอดฟลูออเรสเซนต์ 2. หลอดเมทัล ฮาไลด์ (Metal Halide Bulb) หินเป็น และทรายเป็น อุปกรณ์เหล่านี้จำเป็นต่อการเลี้ยงปลาทะเลให้อยู่รอดได้



นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงปลาทะเลมีการสอบถามหาข้อมูล พร้อมทั้งโชว์รูปตู้ปลาทะเลของสมาชิก รวมไปถึงการซื้อขายปลาและปะการังสวยงาม ในอินเทอร์เน็ตด้วย อย่างเช่น http://www.siamreefclub.com%20และ http://www.reefthailand.com/ ซึ่งในเว็บไซด์ได้มีการถามตอบปัญหาในการเลี้ยงปลาทะเล เช่น วิธีการรักษาปลาที่เป็นโรคจุดขาว หรือ การเลี้ยงปลาชนิดไหนดี รวมถึงบอกราคากลางของปลาบางชนิด เช่น ปลาตระกูลแองเจิ้ล (Angel) ที่มีราคาค่อนข้างสูง ส่วนการซื้อขายส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อขายระหว่างผู้เลี้ยงต่อผู้เลี้ยงเอง ซึ่งขายทั้งปลา ปะการัง ดอกไม้ทะเล และ อุปกรณ์ในการเลี้ยง



นางสาวพรทิพย์ เสาวภาค อายุ 19 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เปิดเผยว่า ชอบซื้อปลาทะเลสวยงามเพื่อนำไปเลี้ยงเป็นงานอดิเรก เนื่องจากเห็นว่าปลาทะเลมีสีสันที่สวยงามและมีความแปลกตามเป็นที่ดึงดูดใจ จึงเข้าไปสอบถามร้านค้าถึงราคาและวิธีการเลี้ยงปลาทะเลสวยงามจึงอยากที่จะเลี้ยง


“ตัวเองคิดว่าราคาไม่แพง อย่างปลาการ์ตูนตัวละ 100 บาท เลี้ยงได้ไม่ยาก แค่มีตู้ปลาก็สามารถเลี้ยงได้แล้ว ตัวเองไม่ได้มีความรู้ทางด้านปลาทะเลมาก่อน แต่พยายามเลี้ยงตามคำแนะนำของผู้ขาย แม้ตอนแรกที่เลี้ยงปลาจะตายไปบ้างก็ตาม” นางสาวพรทิพย์กล่าว





นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวต่อว่า การเลือกซื้อปลาทะเลสวยงาม แต่ละครั้งจะพยายามถามผู้ค้าว่า ปลากินอาหารเม็ดหรือยัง ถ้ายังก็จะไม่นำไปเลี้ยง เพราะการฝึกปลาให้กินอาหารเม็ดนั้นผู้เลี้ยงมือใหม่จะไม่สามารถฝึกได้ หรือ ฝึกได้เป็นบางตัวเท่านั้น ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นก็จะขึ้นอยู่กับจรรยาบรรณของร้านค้าด้วย


ด้านนายกุลณพฤกษ์ ชีวเกษม อายุ 25 ปี ผู้เลี้ยงปลาทะเลสวยงามกล่าวว่า ซื้อจากสวนจตุจักร บางร้านมีเชื้อโรคติดมาด้วย เช่น โรคจุดขาว โรคตัวเปื่อย ถ้าซื้อไปโดยที่ไม่ทราบก็จะทำให้ปลาที่เลี้ยงอยู่เดิมในตู้ปลาติดโรค ซึ่งโรคของปลาส่วนใหญ่จะเกิดจาก อุณหภูมิที่มีความเปลี่ยนแปลง หรือ ค่าความเป็นกรดเป็นด่าในน้ำมีค่าที่แตกต่างกัน ทำให้ร้านค้าบางร้านจำเป็นต้องใส่ยาเพื่อป้องกันโรค แต่ยาจะมีผลต่อสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังทำให้ตายไปด้วย เช่น กุ้ง ปะการังทุกชนิด ผู้ที่เลี้ยงเป็นงานอดิเรกจึงไม่นิยมใส่ยา เพราะส่วนใหญ่จะเลี้ยงปลาและปะการังด้วยในตู้เดียวกัน


ผู้เลี้ยงปลาทะเลสวยงามกล่าวต่อว่าถึงแม้ว่า การเลี้ยงปลาทะเลและปะการังสวยงามจะมีความผิดตามทางกฎหมาย แต่ คิดว่าไม่ได้เป็นเรื่องจริงจัง เพราะเห็นว่าผู้ค้าสามารถขายได้อย่างโจ้งแจ้งผู้ซื้อ ก็สามารถเลี้ยงได้ โดยที่ไม่มีปัญหาอะไร



พ่อค้าเผยเส้นทางปลาทะเล


พ่อค้าปลาทะเลร้านแองเจิลฟิช ที่สวนจตุจักรกล่าวว่าปลาทะเลที่มาขายกันส่วนมากจะมาจากทางช่องแสมสาร จ.ชลบุรี ทางบ้านเพ จ.ระยอง มีชาวประมงในพื้นที่เป็นผู้จับ โดยการวางยาไซยาไนท์อ่อนๆ เพื่อทำให้ปลามึน และนำมาพักไว้ที่บ้าน จากนั้นจึงแพคใส่กล่องโฟมแล้วส่งขึ้นมาที่กรุงเทพทางรถทัวร์ นอกจากนี้ยังมีการนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย จะส่งมาทางเครื่องบิน ทั้งสองช่องทางจะรอคนมารับเพื่อนำไปจำหน่ายต่อ



“การรับซื้อปลาจะมีสองอย่างคือซื้อจากชาวประมงที่จับปลาโดยตรง และซื้อผ่านพ่อค้าคนกลาง ถ้าซื้อกับชาวประมงโดยตรงจะได้ราคาถูกกว่า อย่างปลาการ์ตูนตัวละ 40 บาท ปลาสิงโตตัวละ 60 บาท กุ้งการ์ตูนตัวละ 350 บาท ปะการังเกือบทุกชนิดราคา 150 บาท พอนำมาขายหน้าร้านจะเพิ่มราคาได้อีกเป็นหลายเท่าตัว เช่น แอนนีโมน (ดอกไม้ทะเล) ราคาซื้อ 80 บาท แต่พอนำมาขายจริงๆได้ราคาถึง 250 บาท” ผู้ค้าปลาสวยงามกล่าว



พ่อค้าปลาทะเลร้านแองเจิลฟิช กล่าวต่อว่า ถ้าจะเลี้ยงปลาทะเลให้รอดนั้นต้องมีการลงทุนที่สูง เพราะปลาทะเลมีความไวต่อสภาพน้ำเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น ค่าความเค็ม ก็จะต้องมีเครื่องมือวัดความเค็ม จะต้องมีอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ สกิมเมอร์ ไฟสำหรับให้แสงสว่างสำหรับตู้ปลาซึ่งจะเป็นหลอดไฟที่ทำขึ้นเฉพะและมีราคาค่อนข้างสูง น้ำทะเล หรือผู้เลี้ยงบางคนอาจจะใช้เกลือที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อเลี้ยงปลาทะเลโดยเฉพาะ โดยเฉลี่ยแล้วในการเลี้ยงปลาทะเลหนึ่งตู้จะใช้งบประมาณ 35, 000 - 200,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดตู้และอุปกรณ์ที่เลือกใช้



อีกด้านทางผู้ค้าปลาทางช่องแสมสาร จ.ชลบุรี ให้ข้อมูลในการจับปลาทะเลสวยงามว่า มีการส่งเรือออกไปจับปลาทะเลและปะการัง จับได้ปลาชนิดไหนมาก็เอาหมด ไม่มีการเลือกชนิดปลา จากนั้นจะโทรถามลูกค้าว่าต้องการปลาชนิดไหนและบอกว่าได้ชนิดไหนขึ้นมาบ้าง หรือบางครั้งลูกค้าจะโทรมาถามก่อนว่าอยากได้ปลาประเภทไหน จะออกเรือหาให้เป็นกรณีไป



“ดร.ธรณ์” ย้ำลักลอบจับปลาผิดกฏหมาย



ด้านดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีและอาจารย์คณะประมง มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ และแฟนพันธุ์แท้ทะเลไทย ปี 2546 กล่าวถึงกรณีการลักลอบจับปลาทะเลสวยงามว่า ส่วนใหญ่เป็นการจับมาอย่างผิดกฎหมาย เพราะแนวปะการังที่อยู่อาศัยของปลามักจะอยู่ในเขตพื้นที่อุทยาน ทั้งในไทยและต่างประเทศ อีกทั้งเป็นการทำลายทรัพยากรทางธรรมชาติ โดยเฉพาะทางการท่องเที่ยวที่สูญเสียมาก ถ้าไม่มีปลาเหล่านี้นักท่องเที่ยวก็เลิกสนใจจะดำน้ำ เปรียบเสมือนการทุบหม้อข้าวตัวเอง



“การจับปลาที่เป็นสมบัติของชาติ รวมถึงเป็นการทำลายการท่องเที่ยวอย่างไร้สติ ชาวมัลดีฟได้กล่าวเอาไว้ว่า ถ้าเราจับปลาฉลามขึ้นมาจากทะเลเพื่อประกอบอาหารเราอาจจะได้ราคาต่อจานประมาณ 20 เหรียญ แต่ถ้าเราปล่อยให้ฉลามอาศัยอยู่ในทะเลต่อไป เราจะได้ปีละ 2000 เหรียญ” รองคณบดีกล่าว



อาจารย์คณะประมงกล่าวต่อว่า โดยส่วนตัวเป็นห่วงอะควาเรี่ยมมากกว่าร้านขายปลาทั่วไป เพราะ ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ความต้องการในการเลี้ยง และความต้องการขายให้กับอะควาเรี่ยมมีเพิ่มมากขึ้น เมื่อไหร่ที่จับปลาก็เปรีบเสมือนการตัดวงจรแพร่พันธุ์ของปลา โอกาสรอดคือ 10 ตัว เหลือ 1 ตัว แม้จะมีการเพาะพันธุ์ปลาการ์ตูน ก็ไม่สามารถเพาะได้มากเท่าปลาน้ำจืด เนื่องจากมีความยุ่งยากมากกว่าในด้านของการปรับน้ำ และการอนุบาลลูกปลาให้รอด



ดร.ธรณ์กล่าวต่อถึงการจับกุมดำเนินคดีว่า มีการจับกุมและตรวจตรามากขึ้นในเรื่องของการลักลอบจับปลาทะเลสวยงาม ส่วนการจับกุมมักจะจับได้ในเขตอุทยาน เขตผิดกฎหมาย หรือจังหวัดที่มีการจำกัดเขตสิ่งแวดล้อม อาทิเช่น ภูเก็ต กระบี่ พังงา ที่ได้มีการจับเป็นจำนวนมาก แต่กฎหมายก็มีช่องโหว่คือ ต้องจับกุมขณะที่กระทำความผิด โดยจะเป็นการยึดของกลาง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่อประมง และ ปลา ที่จับมาได้



“วิธีการจับปลาคือ ใช้เรือเล็กหลายลำ เรือใหญ่ลำเดียวโดยนายทุนจะ จ้างเรือหางยาวเล็กของชาวเลให้วิ่งจับปลาตลอด ส่วนเรือใหญ่ก็ให้จอดรอกับที่ และให้เรือเล็กจับปลานำไปรวมกันที่เรือใหญ่จะได้ประหยัด ถ้าจับได้ระหว่างที่กระทำผิดอยู่ก็จะยึดของกลางก็คือ เรือเล็กๆของชาวเล เจ้าของใหญ่ๆที่จ้างชาวเลเพื่อจับปลา เหมือนกับคนรวยไปจ้างคนจนจับ” แฟนพันธุ์แท้ทะเลไทยกล่าว



ดร.ธรณ์กล่าวต่อว่า การจับปลาเป็นเหมือนการทรมานสัตว์ ทำให้ปลาเกิดความเครียดไม่กินอาหารและเสียชีวิต กลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เลี้ยง เพราะปลาบอบช้ำจากการจับที่มีการใช้ยา และอวนในการจับปลา ต้องใส่ถังไว้ 7 – 8 วันกว่าจะเข้าฝั่ง เพื่อให้คุ้มค่ากับการออกไปจับในแต่ละครั้ง ปัญหาอีกอย่างหนึ่งสำหรับผู้เลี้ยงก็คือ ไม่มีเงินทุนมากพอ การเลี้ยงปลาทะเลต้องมีการเซ็ทระบบตู้ปลา ควบคุมอุณหภูมิ ความเค็ม ค่าอาหาร การหมุนเวียนของน้ำ กรองโอโซน จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก การเลี้ยงปลาไม่ได้แปลว่าผิด แต่จะเลี้ยงอย่างไร เลี้ยงแบบอนุรักเพาะพันธุ์ หรือว่าตายแล้วซื้อใหม่ ขึ้นอยู่ที่จรรยาบรรณของผู้เลี้ยง



รองคณบดีกล่าวทิ้งท้ายว่า ปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขในขณะนี้คือการแยกคนดีออกจากคนไม่ดี เพราะคนรักปลาเลี้ยงปลาจริงก็มีมาก ไม่ทำผิดกฎหมายพร้อมสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ คนที่ไม่ดีก็มีอยู่ เหมือนกับอะควาเรี่ยมที่ดี ย่อมยอมลงทุนมากเพื่อการเลี้ยงปลา แต่อะควาเรี่ยมที่เลี้ยงปลาไม่เป็น พอปลาตายก็ซื้อปลาใหม่ ง่ายกว่าพยายามจะรักษาปลา เพราะการรักษามีค่าใช้จ่ายสูง เช่นเดียวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม เรื่องดีก็มีเยอะแต่กลับถูกเหมารวมกันหมดว่าไม่ดี สิ่งที่ควรทำในอนาคตคือการแยกปลาเน่าออกจากเข่ง
ปลาถูกจับอัตราตายสูง



ด้านนายสหภพ ดอกแก้ว นักวิชาการประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และแฟนพันธุ์แท้ปลาทะเล ปี 2549กล่าวว่า ปลาที่ขายตามสวนจตุจักรส่วนใหญ่ได้มาจากการจับและนำเข้ามาจากต่างประเทศ เพราะปลาที่เพาะพันธุ์และใช้ในเชิงพาณิชย์มีไม่เพียงพอต่อความต้องการ คิดเป็นเก้าสิบเปอร์เซนต์ จากท้องตลาดที่ได้มาจากการจับจากธรรมชาติ อัตราการตายของปลาจึงค่อนข้างสูง เพราะการลักลอบจับทำให้ต้องจับมาครั้งละมากๆ บางครั้งต้องใช้สารเคมีเพื่อทุ่นแรงและคุ้มทุนในการจับ อีกทั้งยังคุ้มกับการถูกจับกุม


นักวิชาการประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กล่าวต่อว่า ปลาที่ถูกจับได้จะถูกนำมาพักไว้ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น พื้นที่แคบ สำหรับปลาบางประเภทที่อาศัยในที่กว้าง เมื่อต้องเปลี่ยนสถานที่จึงเกิดความเครียดและดื้อว่ายชนขอบกระชัง ส่งผลให้ปลาเกิดความเสียหาย นอกจากนี้ปลาต้องผ่านการบรรจุลัง เพื่อส่งมายังร้านขายปลาตามท้องตลาด ซึ่งมีปลาอาศัยอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นอัตรารอดจึงมีน้อย



นายสหภพกล่าวถึงการลักลอบขายปลาทะเลสวยงามว่า ถึงจะมีการเปิดร้านขายกันอย่างแพร่หลายทั้งที่ผิดกฎหมาย แต่เจ้าหน้าก็ไม่ได้นิ่งเฉย กฎหมายบัญญัติถึงปลาทะเลสวยงามและปะการังให้เป็นสัตว์คุ้มครองในพระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์ป่าปีพ.ศ. 2535 ผู้ใดที่มีไว้ในครอบรองโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท จำคุกไม่เกิน 4 ปี



“เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าดูแลได้ทั่วถึงทุกวัน โดยส่วนตัวก็ไม่ได้แอนตี้เรื่องการจับปลาทะเลมาขาย เรื่องนี้ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นจะทำลายทรัพยากรให้สิ้น ถึงแม้ว่าจะผิดกฎหมาย ก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับยาบ้าที่ต้องมีการล่อซื้อ แต่มีการปราบปรามเพื่อให้ทราบว่าผิดกฎหมาย ไม่ได้นิ่งเฉย” แฟนพันธุ์แท้ปลาทะเลกล่าว
นายสหภพกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้เลี้ยงปลาทะเลสวยงามต้องศึกษาหลายด้าน อันดับแรกคือคุณภาพของน้ำ ปลาทะเลจำเป็นต้องใช้น้ำตามธรรมชาติที่มีมลพิษน้อย ดังนั้นต้องทำให้น้ำในตู้ปลาไม่ให้เกิดของเสีย ระบบบำบัดเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำให้สมบูรณ์ อันดับสองคือความต้องการของปลา ที่มีหลายอย่าง เช่น ปลาใหญ่ต้องกินปลาเล็ก ปลาบางชนิดกัดกันเอง ปลาบางชนิดอยู่ได้ด้วยตัวเอง บางชนิดก็ต้องอยู่รวมกันเป็นฝูงอย่างสุดท้ายคือเรื่องอาหาร ปลาบางประเภทต้องกินอาหารเฉพาะ บางประเภทยอมรับอาหารสำเร็จรูป ควรเลือกเลี้ยงปลาที่กินอาหารง่าย




กรมประมงรับดูแลไม่ทั่วถึง




ทางด้านนางยู่อี้ เกตเพชร หัวหน้าฝ่ายมาตรการด้านการประมง กรมประมงกล่าว่า ปลาทะเลบางชนิดไม่ได้เป็นสัตว์คุ้มครอง แต่กฎหมายสามารถควบคุมในบางพื้นที่ที่ห้ามจับ คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยที่กฎหมายจำกัดให้บางจังหวัดหรือบางอำเภอเป็นเขตคุ้มครอง เช่น จังหวัดภูเก็ต มีการจัดแบ่งพื้นที่สำหรับทำประมงได้และทำไม่ได้ มีแค่บางประเภทเท่านั้นที่กฎหมายห้ามมีไว้ในครอบครอง อาทิเช่น ดอกไม้ทะเล ปะการัง





หัวหน้าฝ่ายมาตรการกล่าวต่อว่า ปลาที่ขายตามสวนจตุจักรส่วนหนึ่งได้นำเข้ามาจากต่างประเทศ และอีกส่วนมาจากพื้นที่ไม่ได้ควบคุม ฉะนั้นจึงมีสิทธิที่จะจับขายได้ เพราะกฎหมายคุ้มครองตรงพื้นที่ห้ามจับ นอกจากนี้พื้นที่ที่มีการขายปลามีบางร้านที่มีสิ่งผิดกฎหมายปะปน แต่ต้องดูว่ามาจากที่ไหนและปลาอะไร





“ลักษณะของกรมประมงจะดูแลทั้งชาวประมงและทรัพยาการประมง ให้มีใช้อย่างยั่งยืน จะดูแล กฎหมายอาจมีความเป็นไปได้ว่าซ้ำซ้อนกันอยู่ เพราะพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมก็เป็นชายทะเลเหมือนกัน แต่พื้นที่บางที่ต้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเพิ่ม เพราะประมงห้ามแค่เครื่องมือบางชนิดในเขตสามกิโลเมตร คุ้มครองสิ่งแวดล้อมต้องการมากกว่านั่น” นางยู่อี้กล่าว




นางยู่อี้ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การจับกุมปะการังผิดกฎหมายเป็นไปตามตามพระราชบัญญัติสงวนคุ้มครองสัตว์ป่า สัตว์ทะเลประเภทปะการัง กัลปังหา ดอกไม้ทะเล เป็นสัตว์ต้องห้ามตามกฎหมาย มีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองตามกฎหมาย แต่ได้มอบให้หน่วยงานอื่นด้วย คือ ตำรวจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ แม้ว่าจะมีการจับกุมแต่ก็ยังมีการขายให้เห็นกันตามท้องตลาด





“เคยนั่งมอเตอร์ไซด์ที่เขาให้สวมหมวกกันน๊อคแล้วไม่สวมมั้ย กฎหมายระบุว่าผิดแต่ก็ยังมีทำ เราบอกว่ามันส่งผลกระทบอาจทำให้ทรัพยากรหมดไป ถ้าเราไม่ได้ดูแลมัน ปล่อยให้มีการนำมาใช้เกินกำลังการผลิตของธรรมชาติก็จะทำให้ทรัพยากรเสื่อมตัวลง” หัวหน้าฝ่ายมาตการด้านการประมงกล่าว





นางยู่อี้กล่าวต่อไปว่า การออกกฎหมายพิทักษ์ มีพนักงานเจ้าหน้าที่ปกป้องพื้นที่ แต่ไม่สามารถป้องกันได้ตลอดทุกวัน เพราะทะเลมีพื้นที่มาก ก่อให้เกิดช่องว่างในการดูแล ขณะที่เจ้าหน้าที่ไปตามจับยังพื้นที่หนึ่ง แต่อีกพื้นที่หนึ่งกลับทำอยู่เพราะไม่มีใครดูแล ทุกอย่างก็เช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซนต์ ตราบใดที่คนยังไม่อิ่มท้องยังหิวอยู่





ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงการจับกุมในเขตพื้นที่ห้ามจับ หัวหน้ามาตรการกล่าวว่า กรมประมงไม่ได้มีหน้าที่หลักในการจับผู้กระทำผิด แต่มีหน้าที่จับส่งตำรวจ ส่วนเรื่องการยึดของกลางเป็นหน้าที่ของตำรวจ และจัดการตามกระบวนการยุติธรรมต่อ สำหรับการลงตรวจพื้นที่ของกรมประมงได้มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ ไม่เพียงเฉพาะพิทักษ์ปลาสวยงามอย่างเเดียว แต่ยังมีหน้าที่รักษาให้มีปลาคงอยู่ และคงไว้ให้มีปลาเศรษฐกิจจับได้ตลอด





“เราต้องให้การศึกษากับประชาชน อย่างประชาชนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ การรับรู้ก็จะแตกต่างจากคนที่ได้เรียน เช่นเดียวกับชาวประมงพื้นบ้านอาจจะมีคนว่าจ้างหรือรู้ว่าได้ราคาสูงก็จะไปจับมา หรืออาจทำไปเพราะบางอย่างบังคับ แต่หน้าที่ของภาครัฐต้องพยายามอย่าให้เกิด โดยที่กรมประมงก็ได้ใช้วิธีการให้ข้อมูล จัดอบรมเยาวชน อย่างน้อยก็ให้มีความรู้ในระดับแรก โดยที่พยายามทำทุกอย่างไปพร้อมกันทั้งป้องกัน ปราบปรามและตรวจจับ ทำตามหน้าที่ของตัวเอง” นางยู่อี้กล่าวทิ้งท้าย






ผู้สื่อข่าวได้มีการติดต่อไปทาง สำนักงานกรีนพีซ ซึ่ง เป็นองค์กรณ์รงค์อิสระระดับโลกที่ลงมือทำเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรม ปกป้องและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และ ส่งเสริมสันติภาพ และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ กรมป่าไม้ ทั้ง 3 หน่วยงานตอบตรงกันว่า การอนุรักษ์ปลาทะเล ไม่ได้อยู่ในหน้าที่รับผิดชอบของหน่วยงานตน

เขตดินแดงขยะเต็มเมือง!!


เขตดินแดงขยะเต็มเมือง!! จนท.เขตดินแดงเผยขยะล้นอันดับ 4 ของประเทศ ซ้ำเจอปัญหาชาวบ้านไม่ช่วยแยกขยะ ระบุพยายามหาทางออกด้วยการทำให้กลับมาใช้ใหม่ให้มากที่สุด ด้านคนเก็บขยะรับงานหนัก วอนแยกขยะเพื่อความง่ายในการจัดเก็บ



จากการเฝ้าสำรวจพฤติกรรมการทิ้งขยะของประชาชน เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2553 ตั้งแต่ช่วงเวลา 9.00 – 12.00 น. และ 13.00 – 16.00 น. ณ บริเวณแฟลตดินแดงและหน้าสำนักงานเขตดินแดง มีถังขยะประมาณ 6 – 7 จุด ซึ่งผู้สื่อข่าว “หอข่าว” พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ขาดวินัยในการทิ้งขยะ เนื่องจากทิ้งขยะโดยไม่คำนึงถึงประเภทของขยะ คือ ไม่แยกประเภทของขยะ เช่น ขยะเปียกแต่ทิ้งถังที่เป็นขยะมีพิษ หรือขยะแห้งทิ้งถังขยะเปียก เป็นต้น ทั้งที่ทางสำนักงานเขตกรุงเทพมหานครได้รณรงค์ให้มีการแยกขยะเพื่อความสะดวกและเป็นระบบในการจัดเก็บขยะของเจ้าหน้าที่ พร้อมจัดเตรียมถังขยะแยกประเภทไว้ตามจุดต่างๆ เป็นถังประเภทพลาสติก แยกประเภทตามสี เช่น สีแดงเป็นขยะที่มีพิษอันตราย สีเหลืองเป็นขยะรีไซเคิลหรือขยะแห้ง และสีเขียวเป็นขยะเศษอาหาร เป็นต้น แต่มีเพียงประชาชนบางส่วนที่เลือกปฏิบัติตาม ทำให้มีปัญหาในการจัดเก็บขยะ


ผู้สื่อข่าว “หอข่าว” รายงานต่อว่า เจ้าหน้าที่จะทำการแยกขยะแค่บางส่วนเท่านั้นเนื่องจากต้องเก็บหลายที่ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เมื่อเก็บครบบริเวณที่รับผิดชอบแล้ว รถเก็บขยะทุกคันจะนำขยะมูลฝอยที่เก็บทั้งหมดไปส่งที่สถานีขนถ่ายขยะมูลฝอย โดยสำนักงานเขตดินแดงจะนำไปที่สถานีขนส่งมูลฝอยอ่อนนุช เพื่อเป็นหน้าที่รับผิดชอบของหน่วยงานเอกชนที่ถูกว่าจ้างให้กำจัดขยะ เริ่มแรกเป็นการแยกขยะออกเป็นสามส่วน คือ ขยะเปียก ขยะแห้งหรือขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย โดยขยะเปียกจะนำไปผ่านกระบวนการหมักเป็นปุ๋ยชีวภาพ ขยะแห้งหรือขยะรีไซเคิลนำไปแปรรูปให้เป็นมูลค่าตามชนิดของขยะนั้นๆ ส่วนขยะอันตรายทางหน่วยงานนำไปกลบฝังดินเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายและเพื่อลดปริมาณขยะได้ด้วย


นายวัชระ บุญรัก พนักงานเก็บขยะเขตดินแดง เปิดเผยถึงเวลาในการจัดเก็บขยะของพื้นที่เขตดินแดง ว่าจะเริ่มจากช่วงเวลา01.00 น.-03.00 น.แต่ถ้าหากบริเวณใดมีจำนวนขยะเป็นจำนวนมากก็จะยืดเวลาออกไป จนถึงประมาณ 6.00 น. การเก็บขยะเจ้าหน้าที่จะทำการแยกขยะซึ่งจริงๆแล้วจะต้องถูกแยกมาก่อนที่จะเก็บ แต่บางบริเวณไม่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดทำให้ขยะปะปนกัน เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องเข้ามาจัดการเพื่อจะได้ง่ายต่อการนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป


“หลังจากทำการเก็บขยะเรียบร้อยแล้ว รถเก็บขยะทุกคันต้องเดินหน้าไปที่สถานีขนถ่ายมูลฝอย เพื่อทำการแยกขยะและกำจัดขยะต่างๆ ซึ่งสถานีขนถ่ายขยะมี 3 ที่ คือ อ่อนนุช ซอยวัชรพล และหนองแขม โดยเขตดินแดงนั้นต้องไปที่สถานีที่อ่อนนุช เพื่อให้องค์กรเอกชนรับหน้าที่ต่อในการดำเนินการต่างๆ โดยคำนึงถึงเรื่องการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ให้มากที่สุดและเพื่อช่วยลดปริมาณขยะล้นเมือง” นายวัชระ กล่าว


ว่าที่ ร.ต.ฤทธิพันธ์ นันทศุภกร หัวหน้าฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สำนักงานเขตดินแดง ให้ความเห็นถึงการจัดการขยะในเขตรับผิดชอบว่า เขตดินแดงมีการจัดการและดูแลการเก็บขยะโดยเน้นการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุด เพราะเขตดินแดงเป็นพื้นที่ที่มีขยะมากเป็นลำดับที่ 4 ของประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่น การนำขยะสดมาผ่านกระบวนการที่ทำให้สามารถนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ใหม่ และที่ผ่านมากระบวนการดังกล่าวก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ


“ขยะส่วนใหญ่ในพื้นที่เขตดินแดงจะเป็นขยะสดตามตลาดต่างๆ ขยะในพื้นที่เขตดินแดงทั้งหมด 100% มีขยะสด 40% ขยะพวกวัสดุก่อสร้าง 40% และขยะอันตรายอีก 20% ทางเขตดินแดงได้หาวิธีการในการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ ด้วยการนำขยะสดมาหมักใส่ไว้ในถังขนาด 400 ลิตร ซึ่งผสมเข้ากับจุลินทรีย์จะทำให้ได้น้ำชีวภาพที่จะนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก เช่น นำไปรดน้ำต้นไม้ นำไปถูบ้านเพื่อไล่แมลงวัน หรือนำไปเช็ดคาบอาหารพวกไขมันที่ติดอยู่ในจาน ชาม ที่เราใช้ในการรับประทานอาหาร เป็นต้น ซึ่งหลังจากที่สำนักงานเขตดินแดงได้ทดลองวิธีการขั้นต้นแล้วผลออกมาดีเป็นที่พอใจอย่างมาก” ว่าที่ ร.ต.ฤทธิพันธ์ กล่าว
หัวหน้าฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาทางสำนักงานเขตได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปฝึกอบรมชาวบ้าน ภายในบริเวณเขตดินแดง รวมถึงสถานที่ทางราชการต่างๆไม่ว่าจะเป็น ศูนย์ฝึกวิชาทหาร แฟลตดินแดง หรือหน่วยงานต่างๆภายในบริเวณให้ได้รับความรู้และนำไปใช้ โดยการจัดตั้งที่กักเก็บเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานเพื่อใช้หมัก ขณะเดียวกันเศษขยะที่เหลือจะนำส่งไปที่สำนักงานขยะมูลฝอยอ่อนนุช ส่วนขยะที่ย่อยสลายยากทางสำนักงานจะจ้างบริษัทเอกชนมารับเหมาในการกำจัดขยะ ซึ่งทางบริษัทเอกชนจะนำขยะที่เป็นพวกวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่มาอัดให้เป็นก้อนกลมและนำไปใช้ในการถมที่


“ส่วนการเดินทางเก็บขยะของพื้นที่เขตดินแดงเราดำเนินการตามนโยบายของกรุงเทพมหานคร โดยเรามีแผนที่ในแต่ละวัน มีการดูคอมพิวเตอร์ของสำนักงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ขับรถขยะทุกคันต้องใช้เวลาวิ่งให้น้อยที่สุด ใน 1 วัน ต้องวิ่ง 2 เที่ยว เที่ยวละ 2 ชั่วโมง ต้องคำนวณตั้งแต่เวลาในการเก็บจนกระทั่งการขนถ่ายไปสู่สถานีขนถ่ายมูลฝอย ซึ่งปัจจุบันทางกรุงเทพมหานครได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นระบบ จีพีเอส(GPS) มี แบ๊คบ๊อก(Black Box) ติดอยู่ที่รถขยะทุกคัน เพื่อตรวจสอบการทำงานของคนขับรถทุกคนว่ามีการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายมากน้อยเพียงใด” ว่าที่ ร.ต.ฤทธิพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย


ทั้งนี้ข้อมูลจากองค์กรสมาคมสร้างสรรค์ไทย (ตาวิเศษ) ระบุว่า การสร้างจิตสำนึกให้กับทุกคนในการรณรงค์ว่าการแยกขยะเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก เพราะปัจจุบันคนส่วนใหญ่ทิ้งขยะอย่างไม่รู้คุณค่า ขยะบางชนิดสามารถนำกลับมาใช้ได้ และเป็นการเพิ่มมูลค่าเและสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองอีกทางหนึ่ง เมื่อขยะจำนวนน้อยลงจะทำให้ปัญหาโลกร้อนลดลง เช่นกัน



ต่างประเทศกับวิธีการแยกขยะและการเก็บขยะ



ประเทศสหรัฐอเมริกา การใช้สีของถังขยะเป็นตัวแยกขยะ คือ ถังขยะสีดำ ประเภทขยะเปียก เศษอาหารต่างๆ สีเขียวใส่เฉพาะกิ่งไม้ใบหญ้า สีฟ้าเฉพาะขยะรีไซเคิล และถังขยะสีเหลือง สำหรับเศษขยะประเภทโฟมต่างๆ โดยที่รถเก็บขยะจะมาในทุกเช้าของวันพฤหัสบดีแล้วแต่ว่ารถเก็บประเภทไหนมาก่อน โดยใช้คนเก็บขยะเพียงแค่คนเดียวและมีเครื่องยกขยะแบบไฮโดรลิก
อ้างอิงจาก :: http://www.kradandum.com/essay/20050822.html



ประเทศญี่ปุ่น มีการแบ่งแยกประเภทขยะเป็น 4 ชนิด คือ 1. ขยะเผาได้ (ขยะจากครัวและขยะเล็กๆน้อยๆ) 2. ขยะเผาไม่ได้ (ขวดแก้ว กระป๋อง ขวดพลาสติก) 3. ขยะขนาดใหญ่ (เครื่องคอมฯ ตู้เย็น) 4. ขยะรีไซเคิล (กระดาษต่างๆ) 5.ขยะที่ต้องแจ้งหน่วยงานให้มาเก็บ (เครื่องดนตรีขนาดใหญ่ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและซากสัตว์) โดยมีวันเวลาที่กำหนดแน่นอนในการจัดเก็บขยะของเจ้าหน้าที่ คือ ขยะเผาได้และขยะทั่วไปในวันอังคารและวันศุกร์ ก่อน 09.00 น. วันพุธที่สองและพุธที่สี่ของเดือน กำหนดเป็นวันทิ้งขยะประเภทขวดแก้ว และกระป๋องเครื่องดื่ม วันพฤหัสบดีที่สองและที่สี่ของเดือน เป็นวันทิ้งขยะขนาดใหญ่ วันจันทร์ที่สามของเดือน เป็นวันทิ้งขยะรีไซเคิล อ้างอิงจาก :: http://www.japankiku.com/tour/garbage_japan.

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แฉรูปแบบโกงเกมส์เปลี่ยนนิสัยเด็กไทย

วิกฤตสังคมเสื่อมเด็กโกงแม้แต่การเล่นเกมส์ เซียนเกมส์ชี้โปรแกรมโกงหาง่ายแค่คลิ๊กกูเกิลมีทุกอย่าง “ไอซีทีแจง”โปรแกมโกงเกมส์จับได้แน่หากผู้เสียหายร้องเรียน ด้าน“วัลลภ” เตือนหากไม่เร่งแก้ไขอาจติดเป็นนิสัยจนโต

จากการสืบค้นข้อมูลของผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ “หอข่าว” พบว่า เกมส์บนเว็บไซต์ เฟชบุ๊ค(Facebook ) ไฮไฟร์(hi5) และเกมส์ออนไลน์อื่นๆ กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นทำให้มีการแข่งขันในการเล่นสูง จึงมีผู้คิดค้นโปรแกรมโกงเกมส์ขึ้นเพื่อให้ผู้เล่นเกมส์สามารถเล่นได้เร็วแต่ใช้เวลาน้อยกว่าในการเล่นเมื่อเทียบกับบุคคลอื่น จากนั้นจะนำโปรแกรมโกงส่งต่อให้เพื่อนหรือเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต

จากการสำรวจผ่านเว็บไซต์ กูเกิ้ล(Google)เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 โดยค้นหาคำสำคัญที่เกี่ยวกับโปรแกรมโกงเกมส์ พบว่าส่วนใหญ่จะมีผลการค้นมากกว่าล้านครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมาก เช่นคำว่า”โปรแกรมโกงเกม”พบผลลัพท์ 1,030,000 รายการ “โกงเกมส์”พบผลลัพท์ 1,420,000 รายการ “บอท”พบผลลัพท์ 6,400,000 รายการ “โปร”พบผลลัพท์ 21,100,000 รายการ เป็นต้น โดยจะมีเว็บไซต์แจกโปรแกรมโกงเกมส์ และสูตรเกมส์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เช่น เว็บPramool เว็บAll2BOT และเว็บThaigamingเป็นต้น

จากการสอบถามกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่เล่นเกมส์ พบว่าเด็กส่วนมากที่ใช้โปรแกรมโกงเกมส์จะอ้างว่า ผู้อื่นก็โกง ทำไมตนจึงโกงบ้างไม่ได้ ทำให้พฤติกรรมการโกงเกมส์เกิดขึ้นเป็นลูกโซ่ จากเด็กที่ไม่ใช้โปรแกรมโกงเมื่อถูกเอารัดเอาเปรียบ ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองเพื่อที่จะเอาชนะคนอื่นให้ได้ ทำให้พฤติกรรมการโกงเกมส์ในปัจจุบันดูเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเด็กไทย
โปรแกรมโกงเกมส์ยอดนิยม

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 นายวีรศักดิ์ มัสเยาะ อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะบริหาร มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ผู้ที่เคยใช้โปรแกรมโกงเกมส์ต่างๆด้วยตนเองกล่าวว่า โปรแกรมโกงเกมส์ส่วนใหญ่จะค้นหาจาก กูเกิ้ล(Google) และตามเว็บบอร์ดของเกมส์ออนไลน์ต่างๆ โปรแกรมโกงเกมส์ที่นิยมใช้กันส่วนมากจะเป็น โปรแกรม ชีท เอ็นจิ้น(Cheat Engine),บอท(Bot) และการเปิดเซิร์ฟเวอร์เถื่อน ฯลฯ ส่วนขั้นตอนการใช้โปรแกรมแต่จะมีวิธีใช้บอกในเว็บบอร์ด ของผู้ที่นำโปรแกรมมาแจก โปรแกรมส่วนใหญ่จะเป็นของชาวต่างชาติเขียนมาและมีผู้เชียวชาญด้านคอมพิวเตอร์นำมาดัดแปลงใช้กันในประเทศไทย

นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต กล่าวต่อว่า บอท เป็นโปรแกรมช่วยเล่น เพื่อให้ผู้เล่นไม่ต้องนั่งเล่นเอง บอทจะทำทุกอย่างได้ด้วยตนเอง การที่จะสั่งให้บอททำหน้าที่แทนตัวละครในเกมส์ขึ้นอยู่กับ สคริปต์(script)ที่ได้เขียนเอาไว้ สคริปต์(script)เปรียบเสมือนใบคำสั่งที่ผู้ใช้โปรแกรมจะต้องกำกับการกระทำต่างๆของตัวละครที่อยากให้ทำลงไป เมื่อเปิดโปรแกรมบอทโปรแกรมจะทำการอ่านคำสั่งที่ผู้ใช้โปรแกรมป้อนเข้าไปในสคริปต์ ทำให้ตัวละครในเกมส์สามารถเล่นได้โดยไม่ต้องใช้ผู้เล่นบังคับ โปรแกรมบอทส่วนมากจะใช้กับเกมส์ออนไลน์ต่างๆเพราะมีการตรวจสอบการเล่นโดยผู้ดูแลระบบ หากผู้เล่นโกงด้วยการเพิ่มสิ่งของเข้าไปในเกมส์จะถูกจับได้โดยง่าย ด้วยเหตุนี้บอทจึงเป็นแนวทางการโกงที่ไม่ให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจจับได้เพราะการใช้โปรแกรมบอทเปรียบเสมือนผู้เล่นนั่งเล่นเอง แต่โกงโดยการให้โปรแกรมเล่นแทน

“สำหรับโปรแกรม Cheat Engine ส่วนใหญ่จะนำมาแจกตามเว็บโหลดบิท แต่สามารถหาดาวน์โหลดได้จากเว็บนอกเช่นกัน โปรแกรมนี้จะใช้โกงเกมส์ที่ใช้โปรแกรม Flash Player สร้างเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็สามารถใช้โกงเกมส์ออนไลน์หรือออฟไลน์อื่นๆได้เช่นกัน ส่วนการโกงเกมส์ แฟลช(Flash)ที่คุ้นหูจะเป็นเกมส์ใน FacebookและHi5 เช่น Restaurant City , Pet Society ฯลฯ โปรแกรมนี้สามารถโกงเงินและสิ่งของต่างๆในเกมส์ให้มากขึ้น โดยการใช้โปรแกรมหารหัสสิ่งของในเกมส์ที่เราต้องการ แล้วทำการก๊อปปี้รหัสนั้นเพื่อเพิ่มจำนวน เท่านี้ก็จะได้ของต่างๆโดยไม่ต้องนั่งเล่นเป็นวันๆ และยังสามารถโกงเกมส์ออนไลน์ในรูปแบบอื่นๆได้อีก ยกตัวอย่างเช่นเกมส์ Audition Special Force[SF] ที่หลายคนรู้จักดี” นายวีรศักดิ์ กล่าว

นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิตอธิบายถึงกรณี การเปิดเชิร์ฟเวอร์เถื่อนว่า ปกติเกมส์ออนไลน์แต่ละเกมส์จะเป็นของค่ายเกมส์ต่างๆเช่น เอเซียซอร์ฟ(Asiasoft),(ฟันบ๊อก)Funbox ฯลฯ จะมีการเปิดเซิร์ฟเวอร์ของเกมส์ตามลิขสิทธิ์อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งผู้เล่นจะต้องเสียเงินซื้อบัตรเติมเวลาในการเล่นแต่ละวันหรือเป็นเดือน และใช้เวลาในการเล่นนานกว่าจะได้สิ่งของต่างๆตามต้องการ แต่เซิร์ฟเวอร์เถื่อนจะเป็นการใช้โปรแกรมโกงก๊อปปี้ตัวเกมส์ออกมา และผู้โกงจะต้องทำการเช่าพื้นที่ซึ่งเรียกว่า โคโลเคชั่น (colocationการให้บริการพื้นที่ตั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์) เพื่อทำการเปิดเซิร์ฟเวอร์

“ผู้เล่นที่เล่นเซิร์ฟเวอร์เถื่อนจะไม่ต้องเสียเงินเพื่อซื้อบัตรเติมเวลาในการเล่นแต่ละวันหรือเป็นเดือน แต่เซิร์ฟเวอร์เถื่อนจะมีรูปแบบในการเรียกเก็บเงินจากผู้เล่น คือผู้เล่นจะต้องเสียเงินซื้อบัตรเติมเงินโทรศัทพ์ไปแลกกับสิ่งของในเกมส์ที่ตนอยากได้แทนการซื้อบัตรเติมเวลาในการเล่นแต่ละวัน ซึ่งเป็นช่องทางหาเงินของผู้ที่เปิดเซิร์ฟเวอร์เถื่อน เมื่อได้รหัสบัตรเติมเงินแล้วผู้เปิดเซิร์ฟเวอร์เถื่อนจะทำการคีย์รหัสข้อมูลสิ่งของต่างๆที่ผู้เล่นร้องขอ ผู้เล่นก็จะได้สิ่งของตามต้องการ เซิร์ฟเวอร์เถื่อนผู้เล่นจะใช้โปรแกรมโกงต่างๆได้อย่างอิสระจึงทำให้เล่นได้ไวกว่าเซิร์ฟเวอร์ปกติหลายเท่าตัว” นายวีรศักดิ์ กล่าว
สารพัดเหตุผลการโกงเกมส์

นายจิรายุทธ แจ้งวัฒนะ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยว่า เกมส์ออนไลน์เกือบทุกเกมส์จะมีโปรแกรมโกงตามออกมาด้วยเช่น แร๊คนาร๊อค (Ragnarok) เมเปิ้ลสตอรี่ (Maplestory) เป็นต้น ซึ่งโปรแกรมโกงเกมส์ประภทนี้จะหาง่าย ทั้งในเว็บและจากเพื่อนที่เล่นเกมส์ด้วยกัน ทำให้ในปัจจุบันการโกงเกมส์กลายเป็นเรื่องธรรมดา

นายจิรายุทธกล่าวว่า ใช้โปรแกรมโกงเพื่อช่วยเล่นเกมส์เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาว่างในการเล่น และเกมส์ที่เล่นมีการเก็บเลเวล(Level) หากเลเวลไม่เยอะพอก็ไม่สามารถเอาชนะผู้อื่นในเกมส์ได้ และทำให้เล่นตามผู้อื่นไม่ทัน เพราะส่วนมากจะใช้โปรแกรมโกงเกมส์กันทั้งนั้น

“คนที่นำโปรแกรมโกงเกมส์ต่างๆมาโพสต์ส่วนมากจะเล่นอยู่ในเกมส์ออนไลน์นั้นๆด้วย โปรแกรมโกงเกมส์จะมี2แบบคือ เสียเงินกับไม่เสียเงิน จะต่างกันตรงที่ความปลอดภัย โปรแกรมที่เสียเงินจะมีระบบความปลอดภัยสูงกว่าโปรแกรมที่ไม่ต้องเสียเงิน เช่นหาก จีเอ็ม(GM ผู้ตรวจสอบการใช้โปรแกรมโกงในเกมส์ออนไลน์ของค่ายเกมส์แต่ละเกมส์) ออนไลน์เข้าตรวจสอบภายในเกมส์ ระบบของโปรแกรมจะปิดตัวเองโดยทันทีเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ ส่วนวิธีการซื้อขายก็เพียงนำบัตรเติมเงินหรือโอนเงินเข้าบัญชีเพื่อแลกกับรหัสที่ใช้ในการล็อกอินโปรแกรมโกง”นักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าว

ด้านนายพีริทธิ์ ปิติบาตร นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผู้ที่ไม่เคยใช้โปรแกรมโกงในการเล่นเกมส์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่ผู้ที่เล่นเกมส์จะเล่นเพื่อความผ่อนคลาย ประโยชน์จากการเล่นเกมส์ด้วยตนเองคือได้ฝึกทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ ฝึกการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า นำมาปรับเปลี่ยนใช้กับชีวิตประจำวันได้ ที่สำคัญในบางเกมส์จะใช้ภาษาอังกฤษในการโต้ตอบพูดคุย ทำให้ผู้เล่นมีความรู้เพิ่มเติมเรื่องภาษาอังกฤษมากขึ้นได้

“คนที่ใช้โปรแกรมโกงผมมองว่าไม่มีความสามารถพอที่จะเล่นเกมส์ได้ด้วยตนเอง อนาคตคงทำอะไรเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้อื่นตลอดเวลา อยากให้มีการกวาดล้างโปรแกรมโกงเกมส์ต่างๆอย่างจริงจัง เพราะตอนที่เล่นเกมส์แล้วเจอคนที่ใช้โปรแกรมโกงผมรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ ทุกวันนี้มีคนที่ใช้โปรแกรมโกงเกมส์เยอะมาก จนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว” นักศึกษจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าว
คำเตือนจากนักจิตวิทยา

นายวัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบจากการที่เด็กไทยใช้โปรแกรมโกงในการเล่นเกมส์ว่า ตามหลักจิตวิทยาพฤติกรรมการเล่นของเด็กจะส่งผลต่อเนื่องไปยังอนาคต เช่น ตอนเด็กชอบเล่นเป็นหมอโตขึ้นก็มีแนวโน้มที่จะเป็นหมอ ชอบเล่นค้าขายโตขึ้นก็อาจเปิดร้านขายของเป็นต้น ถ้านำมาเปรียบกับการเล่นเกมส์ เด็กที่ชอบเล่นเกมส์ที่ก้าวร้าวหรือรุนแรงเมื่อโตขึ้นจะมีนิสัยชอบความรุนแรงและก้าวร้าว หากเด็กเล่นเกมส์โดยการโกงเป็นประจำ โตขึ้นก็จะมีนิสัยโกงผู้อื่นอยู่เสมอ

“พฤติกรรมการโกงในรูปแบบต่างๆจะส่งผลให้เด็กเกิดนิสัยที่ต่างกันตามรูปแบบของการโกง เช่น 1.การโกงโดยใช้โปรแกรมบอทหรือโปรแกรมช่วยเล่น ก็คือการโกงโดยใช้ตัวช่วยให้เล่นแทน พฤติกรรมของเด็กที่ส่งผลต่อเนื่องจะออกมาในรูปแบบผักชีโรยหน้า ขอแค่ให้งานเสร็จเป็นพอ 2.การโกงโดยใช้โปรแกรม Cheat Engine คือโกงเงินกับสิ่งของ การโกงแบบนี้จะส่งผลต่อพฤติกรรมเด็กหนักกว่าการโกงแบบที่ 1 อย่างเช่นการฟอกเงิน หรือหาวิธีโกงที่จะทำให้ได้เงินอย่างรวดเร็ว และแบบสุดท้ายคือการโกงแบบเชิร์ฟเวอร์เถื่อน คือการโกงแบบไม่มีความอดทนในการเล่นหรือลองผิดลองถูกเพื่อแก้ไขปัญหาภายในเกมส์ด้วยตนเองแต่กลับใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองเล่นเกมส์ให้ได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ เด็กเหล่านี้เมื่อโตขึ้นจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ” นักจิตวิทยาที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าว

สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหา นายวัลลภ กล่าวว่า การที่จะห้ามไม่ให้เด็กเล่นเกมส์นั้นเป็นเรื่องยาก แต่เราสามารถสอนให้เด็กรู้จักการเล่นเกมส์อย่างถูกวิธีได้ โดยมองว่าน่าจะมีการเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนเพิ่มเติมในเรื่องของทักษะการใช้ชีวิต ให้เด็กรู้จักตั้งเป้าหมายของการกระทำแต่ละอย่างว่าทำไปเพื่ออะไร และได้อะไรจากการกระทำ ทำไปแล้วมีความสำคัญอย่างไร ใช้เวลานานเท่าไหร่ อาจมีชั่วโมง Homeroom (การให้ทุกคนมานั่งล้อมวงกันในห้องเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น) เช่น เด็กคนแรกเล่นเกมส์ด้วยตนเองแล้วได้ความรู้ทักษะในการเล่นมาเล่าสู่กันฟัง เด็กอีกคนโกงเกมส์มาแล้วไม่มีทักษะในการเล่น จะทำให้เกิดการวิเคราะห์ของเด็กที่เหลือว่าแบบใหนไหนทำแล้วได้ประโยชน์มากกว่ากัน

“ถ้าเราป้องกันการโกงเกมส์ด้วยการบล๊อกเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง จะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เหมือนไปกระตุ้นให้เด็กคิดหาวิธีการสร้างโปรแกรมโกงในรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น ปัญหาที่แท้จริงคือทุกวันนี้เด็กไทยหลายคนยังไม่เข้าใจกับคำนิยามของ การเล่นเกมส์ เด็กส่วนใหญ่คิดว่าเล่นเกมส์เพื่อแข่งขัน เพื่อเอาชนะ ทำให้เด็กหาวิถีทางในการเอาชนะไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม จึงทำให้เกิดโปรแกรมโกงขึ้นมา” นักจิตวิทยาที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าว

นายวัลลภ กล่าวต่อว่า นิยามของคำว่า เล่นเกมส์ แท้จริงแล้วคือ เล่นให้สนุก ได้ความรู้ แลกเปลี่ยนทักษะต่างๆซึ่งกันและกันระหว่างผู้เล่นแต่ละคน และแบ่งเวลาในการเล่นไม่ให้มากจนเกินไป ถ้าเด็กไทยเข้าใจกับคำนิยามตรงนี้โปรแกรมโกงเกมส์ก็ไม่จำเป็นในการเล่นเกมส์ของเด็กอีกต่อไป

นางสาวชมพูนุท ศรีจันทร์นิล อาจารย์ประจำวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าตามหลักจิตวิทยาหากเด็กกระทำพฤติกรรมอะไรซ้ำๆ โดยไม่ถูกลงโทษหรือว่ากล่าวตักเตือน เด็กจะมีโอกาสทำ พฤติกรรมในรูปแบบเดิมเพิ่มมากขึ้นไปอีก หากถูกยับยั้งด้วยการลงโทษเด็กก็จะค่อยๆหยุดพฤติกรรมเหล่านั้นลง
“ถ้าเด็กเล่นเกมส์โดยไม่ใช้โปรแกรมโกง ก็จะส่งผลให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ ริเริ่มสิ่งแปลกใหม่ สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วยตนเอง แต่ในเรื่องของการโกงเกมส์ในปัจจุบันที่เด็กหลายคนมองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ผิดจะเป็นแรงเสริมให้เด็กสรรหาวิธีในการโกงรูปแบบใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น ถ้าไม่ควบคุมพฤติกรรมของเด็ก อนาคตเด็กเหล่านี้ก็จะพัฒนาตัวเองไปในทางไม่ดี” นางสาวชมพูนุท กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงวิธีการแก้ไขพฤติกรรมการโกงเกมส์ของเด็ก อาจารย์ประจำวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เนื่องจากเด็กๆเหล่านี้เป็นเยาวชนอยู่วิธีป้องกันหรือควบคุมก็ยังสามารถทำได้ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องกำหนดมาตราการที่ทำให้การกระทำของเด็กถูกยับยั้ง โดยการสร้างบทลงโทษกับเด็กที่ใช้โปรแกรมโกงเกมส์อย่างจริงจัง และทำให้เด็กไม่กล้าที่จะใช้โปรแกรมโกงอีก เพื่อไม่ให้พฤติกรรมของเด็กส่งผลไปสู่อนาคต

ไอซีที ขอพลิก กม.คอมฯเล่นงาน

นายณัฐ พยงค์ศรี นักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พระราชบัญญัตว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ICT) กล่าวว่า การที่จะดำเนินการเอาผิดกับโปรแกรมโกงเกมส์ ต้องตีความกฎหมายพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ก่อนที่จะเข้าร้องทุกข์ต่อกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยส่วนใหญ่การใช้โปรแกรมโกงเกมส์ในรูปแบบต่างๆ ผู้เสียหายโดยตรงต่อการใช้โปรแกรมเหล่านี้จะเป็นบริษัทผู้ผลิตเกมส์ ทางกระทรวงจะไม่สามารถดำเนินการได้ ถ้าไม่มีผู้เสียหาย(บริษัทเกมส์)เข้าร้องเรียน

นายณัฐ กล่าวต่อไปว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์มีอยู่มากมาย ยกตัวอย่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องและพูดถึงอยู่บ่อยๆ คือ การรบกวนข้อมูลคอมพิวเตอร์ มาตรา 9 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น โดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ยังมีข้อกฎหมายอีกหลายมาตราที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งประชาชนสามารถทำความเข้าใจกับข้อกฎหมายมาตราต่างๆได้จากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือค้นหาจากแหล่งความรู้ต่างๆ

“กรณีในเรื่องของการใช้โปรแกรมโกงเกมส์ต่างๆ จะต้องมีเจ้าทุกข์เข้ามาร้องเรียนที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพราะกรณีนี้ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวง ที่จะดำเนินการได้ทันที จากนั้นทางกระทรวงจะตรวจสอบว่าเป็นไปตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรือไม่ ถ้าเป็นไปตามข้อกฎหมายทางกระทรวงจะดำเนินการช่วยเหลือทันที” นักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พระราชบัญญัตว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ICT) กล่าว

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รุกฆาต : จากลานมะพร้าว สู่ กูเกิ้ลจีน

รุกฆาตฉบับนี้เชิญทุกท่านร่วมจินตนาการ ว่าท่านคือวิหค ผู้มีอิสรภาพในการโบยบิน บนท้องฟ้ากว้าง ท่านกลืนกินความเสรี ประหนึ่งเสพทิพยอาหาร แล้วพลันท่านกลับโดนกระสุนแห่งอำนาจนิยม เจาะทะลุปีกเสรี แล้วร่างท่านก็ถูกพันธนาการในกรงเหล็ก ที่เกรอะกรังไปด้วยสนิมแห่งความต่ำช้าทางภูมิปัญญา


เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา มีหัวข้อหนึ่งที่น่าติดตามบน Twitter ของผู้ใช้ท่านหนึ่ง นั่นคือคุณ@dr_mana ที่ประกาศข้อความว่า “ …ขอประนามการคุมคามเสรีภาพการนำเสนอข่าวของนสพ.ฝึกปฏิบัติ"ลานมะพร้าว"และที่มหาวิทยาลัยอื่นๆ…”


เมื่อติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม จึงทราบถึงความขัดแย้งระหว่างหนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติ กับผู้บริหารมหาวิทยาลัย กล่าวคือหลังจากนสพ.ลานมะพร้าวฉบับกำแพงนิวส์ ประจำวันที่ 15 ธันวาคม 2552 ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติของนักศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เสนอข่าวผลการหยั่งเสียงในมหาวิทยาลัยถึงคะแนนนิยมต่อผู้ที่จะเป็นอธิบการบดีคนใหม่


หลังเสนอข่าวปรากฎว่ามีผู้บริหารของมหาวิทยาลัย และเป็นหนึ่งในกรรมการสรรหาอธิการบดี ได้สั่งเรียกเก็บหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว และขู่ว่าจะเสนอสภามหาวิทยาลัย เพื่อสั่งปิดหนังสือพิมพ์ และจะสอบวินัยอาจารย์ที่ปรึกษา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการการเหยียบย่ำ เสรีภาพนิยม( Libertarianism ) โดยอำนาจนิยม(Authoritarianism )


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของประวัติศาสตร์ หนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติประเทศไทย ก่อนหน้านี้หลายคนคงมีโอกาส ได้ติดตามกรณีที่คล้ายคลึงกันของหนังสือพิมพ์ จันเกษมโพสต์ และอีกหลายฉบับในหลายมหาวิทยาลัย ที่โดนถางความคิดที่มีอิสรภาพ จนโล่งเตียน


เป็นการกระทำที่ยากจะยอมรับได้ในประเทศที่ได้ชื่อว่าปกครองตามแบบประชาธิปไตย อย่างไทยเรา ทำให้ย้อนคิดถึงวาทกรรมของวีรบุรุษนักข่าวไทย กุหลาบ สายประดิษฐ์ ที่ว่า

“ ...ถ้าหนังสือพิมพ์ต้องสูญเสียเสรีภาพไปแล้ว เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนก็พลอยสั่นสะเทือนไปด้วยกัน... ”

หากวันนี้แม้เพียง กิจกรรมฝึกปฏิบัติ ของนักศึกษา ยังถูกจำกัดความคิดด้วยกรอบอำนาจแล้ว วันหน้าเมื่อนักศึกษาก้าวสู่สนามแห่งสื่อจริง คงเป็นสื่อพิการ ง่อยเปรี้ยทางความคิด วิปริตทางภูมิปัญญา จากสังคมอุดมปัญญา คงเป็นได้แค่สังคมอุดมปัญหา

หากมองเหตุการณ์กันแบบผู้ไม่รู้ร้อนหนาวทางอุดมการณ์ เรื่องราวหล่านี้ ก็เป็นแค่เรื่องของเด็กดื้อ ที่หาญกล้าเถียงผู้ใหญ่ ผลคือผู้ใหญ่ก็ขู่จะลงหวาย รึร้ายกว่านั้นก็ลงมีดเฉือนให้เห็นรอย วันหลังจะได้หลาบจำ
ถ้ามองเรื่องดังกล่าวอย่างที่ว่าข้างต้น อนาคตไทยคงเป็นโรคแผลเบาหวาน ลงเอยที่เน่าลามจนเป็นประเทศติดเชื้อแบบถาวร ไม่วายคงเข้ารูปแบบเหตุการณ์ “ กูเกิ้ลจีน ”

เหตุการณ์ที่เว็บไซด์กูเกิ้ล(Google) ที่ได้ชื่อว่าเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการในการค้นหาข้อมูลบนโลกอินเตอร์เน็ต และได้รับความนิยมที่สุดในโลก หลังถูกรัฐบาลจีน คัดกรองการนำเสนอข้อมูลจนขาดเสรีภาพ ซ้ำร้ายอีเมลที่ให้บริการโดย กูเกิ้ล หรือ จีเมล(Gmail) ของนักสิทธิมนุษยชน ก็โดนล้วงข้อมูล
เหตุการณ์นี้ เมื่อจับมาเปรียบกับเหตุการณ์ หนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัตินักศึกษาในบ้านเรา มันมีประเด็นที่น่าสนใจ สองประการคือ

ประการแรกประเทศจีนปกครองภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ แต่ประเทศไทย ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่พฤติกรรมการใช้อำนาจ เพื่อควบคุมเสรีสื่อ กลับมีเหมือนกัน แม้ในไทยอาจเป็นแค่หนังสือพิมพ์นักศึกษา แต่ใช่ว่าหนังสือพิมพ์ระดับชาติจะไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ มันคือการลุกลาม ของอำนาจนิยม สู่สถาบันการศึกษาต่างหาก

ในอดีตการพัฒนาของการเมืองไทยเคยเริ่มต้นจากแนวคิดปัญญาชนในสถาบันการศึกษาและมีนักศึกษาเป็นผู้ขับเคลื่อน สู่การเมืองระดับชาติ หรือเหตุการณ์นี้จะเป็นการหมุนย้อนกลับของการเมืองไทย เป็นการย้อนสู่ความล้าหลังที่มีจุดเริ่มต้นจากสถาบันการศึกษาเหมือนเมื่อวันวาน...

ประการที่สอง อยากให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งสองเหตุการณ์ พิจารณาพฤติกรรมของตน โดยยึดหลักของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อที่ 19 ที่ว่า “ บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพแห่งความเห็นและการแสดงออก สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะยึดมั่นในความเห็นโดยปราศจากการแทรกสอดและที่จะแสวงหารับ ตลอดจนแจ้งข่าว รวมทั้งความคิดเห็นโดยผ่านสื่อใดๆ และโดยมิต้องคำนึงถึงเขตแดน ”

ที่ยกปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน มากล่าวอ้าง ใช่ว่าจะเพื่อการเรียกร้องเพื่อแข่งเสียงคลื่นทะเล แต่เพื่อให้ผู้ที่กำลังฝืนแนวคิดปฏิญญาข้อนี้ สำเหนียกไว้เสมอว่า สิ่งที่ดำเนินอยู่ มันเป็นหนทางสู่ความล้าหลังและกำลังจะนำแนวคิดประเทศของท่านสู่วิถีที่สวนทางความเป็นสากลนิยม

แม้เรื่องราวทั้งหมด อาจยังเดินทางไปไม่ถึงตอนจบของเหตุการณ์ แต่เราก็ได้เรียนรู้แล้วว่า ความเสื่อมถอยใดไหนจะเท่าความเสื่อมคุณธรรมของผู้มีอำนาจ

แม้นวัตกรรมทางการสื่อสาร จะก้าวหน้าจนมิอาจยั้งรอผู้เดินบนวิถีแห่งอคติ แต่ขอให้ท่านเหล่านั้นจงตระหนักถึงประโยชน์ของส่วนรวมให้เหนืออื่นใดเถิด ก่อนที่ประวัติศาสตร์จะจารึกว่าท่านคือหนึ่งในฟันเฟืองแห่งแนวคิดทรราช