วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
แฉขวนการปั่นกระแสโซเชี่ยล มีเดีย
ผู้สื่อข่าวหอข่าวได้สำรวจการใช้งานเว็บไซด์สังคมออนไลน์ หรือโซเชี่ยล มีเดีย (Social Media) พบว่ามีการนำเสนอเนื้อหารูปแบบหนึ่ง ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในแต่ละสังคมออนไลน์ คือการแนะนำผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ โดยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ยอมรับในสังคมออนไลน์หรือ ผู้มีอิทธิพล (Influential) จนเกิดกระแสความนิยมสินค้าบางชนิดมากจนเกิดปรากฏการณ์สินค้าขาดตลาด (อ่านเพิ่มเติมจากบทล้อมกรอบ “ ทำความรู้จัก Social Media” )
จากการที่ผู้สื่อข่าวเฝ้าติดตามบรรดาเว็บไซด์โซเชี่ยล มีเดีย ยอดนิยมของคนไทย อาทิเช่น pantip, mulitiply ,twitter, bloggang เป็นต้น พบว่า มีเนื้อหาไปในทางการสร้างกระแสให้เกิดความนิยม และสนใจสินค้าบริการมากขึ้นจนผิดปกติ ผู้สื่อข่าวจึงได้ติดต่อไปยังผู้ให้บริการ เว็บไซด์ โซเชี่ยล มีเดีย ต่าง ๆ เพื่อขอข้อมูล
ผู้บริโภคชี้เชื่อเว็บก่อนตัดสินใจซื้อ
นางสาวนาถหทัย อวยพร นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ตนเองเป็นคนที่นิยมหาข้อมูลสินค้าก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ โดยจะมีการเข้าเว็บไซด์ต่าง ๆ เช่น pantip,pramool,Jeban เป็นต้น เพราะเห็นว่าในเว็บต่าง ๆ จะมีคนที่เคยใช้มาบอกเล่าประสบการณ์ และมีผู้เชี่ยวชาญมาตอบคำถาม
“เดี๋ยวนี้ หากจะซื้ออะไรซักอย่างเพื่อความแน่ใจก็เปิดเว็บดูรีวิวก่อนเป็นอันดับแรก สบายใจได้แน่นอนค่ะเพราะคนเขาใช้ก่อนมาบอกต่อ ” นางสาวนาถหทัย กล่าว
ด้านนางสาวสุโรจนา ไข่มุกข์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า โดยปกติจะเข้าเว็บFacebook.com เป็นประจำ เพื่อเล่นเกม และสื่อสารกับกลุ่มเพื่อน นอกจากนี้ก่อนจะตัดสินใจซื้อสินค้า จะหาข้อมูลทั้งด้านบวกและด้านลบ จากเว็บบอร์ดต่าง ๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ ล่าสุดตนตัดสินใจซื้อรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง ที่ผิดจากที่ตั้งใจไว้เดิม เพราะยี่ห้อที่ตั้งใจจะซื้อแต่แรก มีคนเขียนไว้ว่าไม่ดี และผู้เชี่ยวชาญในเว็บหลายคนบอกเป็นส่วนใหญ่ว่ายี่ห้อหนึ่งนั้นดีกว่า
ด้านนายเชลงพจน์ ภูมาศ อาชีพเภสัชกร เปิดเผยว่า ตนจะตัดสินใจซื้อสินค้าในปัจจุบัน จำต้องมีข้อมูลจากหลาย ๆ ด้าน ในอดีตจะใช้ข้อมูลจากคนใกล้ตัว หรือคนรู้จักที่เคยใช้มาบอกให้ฟัง แต่ปัจจุบันหากจะซื้อสินค้าหรือบริการสักอย่าง ก็เกรงใจที่จะโทรถามคนสนิทที่เคยใช้จึงเลือกที่จะไปโพสต์ถามในเว็บสังคมออนไลน์ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญคอยตอบอยู่และยังมีคนที่เคยใช้มาแสดงความคิดเห็นให้อีกด้วย เช่น Pantip,Bloggang,Exteen,Multiply
“มันเป็นเรื่อง สะดวกมากครับ อยากได้อะไรสักอย่างถ้าไม่แน่ใจในคุณภาพก็จะไปโพสต์ถามในเว็บ รอนิดเดียวก็มีคนมาช่วยตอบแล้ว ดีตรงที่ไม่ต้องไปรบกวนคนอื่นเขา” เชลงพจน์ กล่าวทิ้งท้าย
พันทิปฯ ชี้ปั่นกระแสสินค้ามีจริง
นายวรพจน์ หิรัญประดิษฐกุล ผู้ประสานงานฝ่ายเว็บบอร์ด(Webboard Co-ordinator) ของเว็บไซด์เว็บพันทิป ดอทคอม (pantip.com) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีการปั่นกระแสสินค้าโฆษณาบนเว็บไซด์โดยเฉพาะเว็บบอร์ดจริง โดยจะมีการโพสต์หรือนำเสนอข้อความที่เหมือนการแนะนำสินค้า ประเภทใช้ดี แล้วบอกต่อ หรือที่เรียกกันว่า การรีวิว (Review)สินค้า จนเกิดกระแสให้นักท่องเว็บ ที่ศึกษาหาข้อมูลบนเว็บบอร์ด สนใจ คลิกเข้ามาดู จากนั้นนักปั่นกระทู้ จะมีการแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม โดยใช้ชื่อล๊อคอิน (Login)ที่เปลี่ยนไป ทำให้เกิดกระแสคนเข้ามาติดตามอย่างมากมาย ส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้า
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีการสร้างกระแสละคร ภาพยนตร์ โดยการตั้งหัวข้อกระทู้เพื่อแสดงความน่าสนใจของละคร ภาพยนตร์นั้น ๆ โดยมีหน้าม้า ซึ่งเป็นทีมงานที่จะใช้ชื่อล๊อคอินไม่ซ้ำกันมาโพสต์แสดงความคิดเห็น ให้มีปริมาณมากจนติดอันดับกระทู้แนะนำในเว็บบอร์ดเพื่อแสดงถึงความนิยม วิธีการการตรวจสอบบรรดานักปั่นกระทู้นั้นทำได้โดยง่ายคือ ตรวจสอบหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์(IP Address) ของบรรดารายชื่อผู้โพสต์ที่หลากหลายนั้น จะมาจากหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์เดียวกัน (อ่านเพิ่มเติมจากบทความ “นักสืบออนไลน์ เบาะแสเด็ดสู่ข่าวสืบสวน”)
สร้างกระแส 300 คนในกระทู้เดียว
ผู้สื่อข่าวเฝ้าสังเกตการณ์ พฤติกรรมของบรรดานักโพสต์กระทู้ในเว็บpantip ที่ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวพบว่าส่วนใหญ่ชื่อผู้ใช้งาน (Username) ตามข้อมูลที่แหล่งข่าวแนะนำมามักโดนลบออกจากระบบเว็บไซด์แล้ว เพราะผู้ดูแลเว็บและสมาชิกตรวจสอบแล้วเห็นว่าน่าจะเป็นข้อมูลโฆษณาแฝง และสร้างกระแสของสินค้า
ขณะที่อีกหัวข้อกระทู้หนึ่งที่พูดถึงภาพยนต์ที่กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนต์ติดต่อกันหลายวัน ในลักษณะที่คนที่ไปดูมาแล้วดี เช่นขึ้นหัวข้อ กระทู้“ไปดูมาแล้วหนังเรื่อง...ฉากทะเล กับท้องฟ้าสวยมาก ดูแล้วมีความสุข อยากให้ทุกคนพาคนที่รักกันไปดู” โดยที่หัวข้อเหล่านี้ถูกนำเสนอขึ้นจำนวนมาก และติดต่อกัน จนสมาชิกในเว็บบอร์ด เริ่มสังเกตว่า เป็นการปั่นกระแส จนเกิดกระแส ต่อต้านตามมา จนมีคำสั่งจากทางเว็บบอร์ดว่าห้ามมีการโพสต์หัวข้อเกี่ยวกับภาพยนต์เรื่องดังกล่าวโดยเด็ดขาด
นอกจากนี้ผู้สื่อข่าว “หอข่าว” ยังพบว่าบน เว็บ multiply ซึ่งเป็นเว็บแชร์ภาพของสมาชิกคนหนึ่ง ที่แสดงลิงค์ไว้ในเว็บบอร์ดห้องก้นครัว pantip มีการแสดงภาพถ่ายบรรยากาศในร้านอาหาร เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกภาพ ล้วนมีสัญลักษณ์ยี่ห้อเบียร์บริษัทหนึ่งปรากฏอยู่อย่างชัดเจนทีมผู้สื่อข่าวจึง ใช้ข้อมูลคือที่อยู่อีเมลล์(E-mail Address) เพื่อติดต่อขอข้อมูลจากเจ้าของ
“เมเม่” ช่างภาพอิสระ เจ้าของเว็บภาพคนดังกล่าวซึ่งล่าสุดถูก เว็บ pantip ลบข้อมูลในเว็บบอร์ดออกเนื่องจากทางเว็บไซด์เห็นว่าข้อมูลที่โพสต์เข้าข่ายโฆษณา ยอมให้ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 26ธันวาคม 2552ว่า ตนเป็นช่างภาพอิสระ ที่รับจ้างชิมอาหารตามร้านต่าง ๆ และเก็บภาพมาเขียนติชม บนเว็บบอร์ดได้รับค่าจ้างครั้งละ 2,000-3,000 บาทโดยต้องส่งเว็บเพจหน้าที่ลง กลับไปให้เจ้าของธุรกิจ เพื่อแสดงผลงาน นอกจากนี้ตนได้เข้าร่วมกิจกรรมกับทางบริษัทผลิตเครื่องดื่มประเภทเบียร์ยี่ห้อหนึ่ง โดยทางบริษัทจัดกิจกรรมพิเศษชักชวนช่างภาพ ให้ส่งรูปเข้าประกวด เพื่อจะได้โอกาสเข้าร่วมกิจกรรม ชิมอาหารและเบียร์ฟรี พร้อมเงินรางวัล โดยจะต้องมีการถ่ายรูป เพื่อไปลงในเว็บบอร์ดพร้อมเขียนบรรยายบรรยากาศ นอกจากนี้ตนยังทำหน้าที่ ในการช่วยประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัทเบียร์ผ่านโซเชี่ยล มีเดีย ต่าง ๆ
กูรูมือถือพุ่งเป้านักท่องเว็บ
นายชัยวัฒน์ ฉันทสกุลเดช หรือที่รู้จักกันในนามCookieCompany (คุ๊กกี้คอมพานี)ชื่อผู้ใช้งานบนเว็บบอร์ด pantip ในฐานะผู้เชี่ยวชาญหรือกูรูด้านสัญญาณและโทรศัพท์มือถือ เปิดเผยว่า ช่องทางการโฆษณาบนเว็บบอร์ด ถือเป็นช่องทางที่บริษัทโทรศัพท์มือถือหลายรายให้ความสนใจ โดยบริษัทเหล่านี้จะพุ่งเป้าไปที่ บรรดานักท่องเว็บ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญและและมีชื่อเสียงโด่งดังหรือกูรู ที่มีผู้ติดตามงานเขียนบนเว็บบอร์ดจำนวนมาก โดยบริษัทเหล่านี้จะมอบสินค้าเช่นโทรศัพท์มือถือ ให้บรรดา กูรูหรือผู้เชี่ยวชาญ ทดลองใช้ฟรี และมอบกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของแก่บรรดากูรูเหล่านั้น เพื่อแลกกับการ เขียนข้อความ หรือบทความบนเว็บบอร์ด และคอยตอบคำถามแก่ นักท่องเว็บอื่นที่สนใจสินค้านั้น
คุกกี้คอมพานี ยังกล่าวต่อว่า บางบริษัทมือถือติดต่อมายังบรรดากูรูโดยตรง ขณะที่บางบริษัทเลือกที่จะติดต่อผ่านบริษัทผู้แทนโฆษณา หรือเอเจนซี่ และบริษัทเอเจนซี่จะเป็นผู้ติดต่อสืบหากูรูมาทำงานตามเป้าหมาย โดยช่วงที่ตนเป็นที่นิยมบนเว็บบอร์ด และคนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ ในงานเขียนบนเว็บบอร์ด ช่วงเวลานั้นสามารถสร้างรายได้เป็นเงินหลักแสนบาทต่อเดือน ซึ่งขณะนั้นยังศึกษาอยู่ระดับมหาวิทยาลัยชั้นปีที่2เท่านั้น
ด้านนายนันทพงศ์ จงประทีป นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 โรงเรียนเตรียมอุดมพัฒนาการ กรุงเทพมหานคร ให้ข้อมูลว่าตนเป็นกูรู ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนในด้านโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็มีบริษัทมือถือ ติดต่อมาให้ทดลองใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ที่กำลังจะวางตลาด โดยให้กรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของเครื่อง เพียงแค่ไปเขียนรายละเอียดสนับสนุนเกี่ยวกับเครื่องที่ใช้ ลงบนเว็บไซด์ โซเชี่ยล มีเดีย ต่างๆ และคอยเพิ่มข้อคิดเห็นต่างๆ แก่ผู้สนใจ นอกจากนี้ ตนยังมีหน้าที่นำ เว็บไซด์ ที่เป็นรายละเอียดของสินค้ามา โพสต์ไว้เพื่อให้ผู้สนใจติดตามต่อในเว็บบล็อก และเว็บของบริษัทเจ้าของสินค้า
ด้านนายวิทวัส ชัยปาณี นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน โซเชี่ยล มีเดีย ถือว่าน่าสนใจในมุมมองนักโฆษณา แม้ปัจจุบันผลวิจัยจะชี้ว่า มีประชากร 12ล้านคน ที่นิยมเสพข้อมูลทาง โซเชี่ยล มีเดีย แต่เชื่อว่าภายในเวลา 3ปีข้างหน้า ประชากรส่วนใหญ่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลบนโลกอินเตอร์เน็ทเพิ่มขึ้นมหาศาลอย่างแน่นอน
นายวิทวัส กล่าวอีกว่า การทำโฆษณาแฝงบน โซเชี่ยล มีเดีย ถือว่าไม่เป็นเรื่องผิด หากแต่ต้องพิจารณา ที่เนื้อหาว่าบิดเบือนความจริง และบรรยายสรรพคุณเกินความจริงหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าผิดจรรยาบรรณนักโฆษณา แต่เพราะขอบเขตของจรรยาบรรณโฆษณาไม่อาจควบคุมถึง เพราะมีจำนวนนักโฆษณาหลายคน ที่ไม่รู้ถึงจรรยาบรรณเหล่านี้ และมีอีกหลายคนที่รู้แต่ก็เจตนาทำ จึงยากที่การควบคุมทางจรรยาบรรณโฆษณาจะดูแลได้ทั้งหมด
มีเดียมอนิเตอร์ จวก กฎหมายไม่เข้มพอ
นายธาม เชื้อสถาปนศิริ ผู้จัดการกลุ่มงานวิชาการ โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม( MEDIA MONITOR: MM )หรือมีเดีย มอนิเตอร์ กล่าวว่า กรณีการโฆษณาแฝงบน โซเชี่ยล มีเดีย ต้องพิจารณาที่ตัวสารว่าบิดเบือน หรือหลอกลวงหรือไม่ ซึ่งหากเป็นกรณีเช่นนี้ก็ถือว่าผิดในเรื่องของจริยธรรมทางธุรกิจ
ผู้จัดการวิชาการฯ กล่าว
2. hi5
3. Blogger.com(blogger.com)
4. hi5.com (facebook.com)
5. exteen (exteen.com)
(ข้อมูลจากเว็บไซด์จัดอันดับ: http://www.alexa.com/)
ใครรู้จัก กูรู บนโลกออนไลน์บ้าง...
กูรู ทำอะไรบน Social Media
กูรู กับการ รีวิว
เครื่องมือการทำงานของกูรู เนื่องจากบรรดากูรูต่างโด่งดัง มาจาก Social Media แต่ด้วยข้อจำกัดของ เว็บ Social Media บางเว็บที่ไม่สามารถตกแต่งให้สวยงามหรือน่าสนใจ เช่น twitter ,webboard .. แต่เว็บเหล่านี้กลับมีผู้ใช้บริการมาก และกูรูเองก็โด่งดังมาจากเว็บเหล่านี้ ดังนั้น เพื่อสนับสนุนการทำงาน บรรดากูรูจึงใช้ เว็บไซด์เหล่านี้เป็น “เว็บประตู” และจะเขียนข้อมูล แบบไม่ละเอียดมาก จากนั้นจะทิ้ง ลิงค์ของเว็บไซด์ Social Media ที่เป็นรายละเอียดเอาไว้ ให้คนตามต่อ เช่น เว็บส่วนตัว, เว็บบล๊อค, เว็บไดอารี่ เป็นต้น
กูรูได้อะไรเป็นผลตอบแทน
วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
โรงเรียนติดแบรนด์
การนำพาลูกไปสู่สังคมอันดีพร้อมในทุกสิ่ง ล้วนเป็นสิ่งที่พ่อแม่ในทุกครอบครัวต่างกระทำ และไม่ว่าใครก็คงใฝ่ฝันที่จะเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาอันมีชื่อเสียงและมั่นใจได้ว่ามีคุณภาพคับแก้ว โรงเรียนนับเป็นหนึ่งสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ล้วนต้องคัดกรอง แต่หากคัดกรองเพียงสิ่งที่ พ่อแม่ คิดว่าดีโดยไม่ได้มองถึงจิตใจของเหล่าลูกหลานแล้ว บางครั้งสิ่งดีนั้นอาจแปรเปลี่ยนลูกน้อยไปจนกู่ไม่กลับ แต่หากว่าการคัดกรองนั้นเกิดจากการตริตรองโดยคนทั้งสองฝั่งด้วยดี ผลลัพธ์ที่ได้คงนำมาซึ่งรอยยิ้มจากหัวใจ
การเลือกโรงเรียนหรือสถานศึกษาสักแห่งให้แก่ลูกหลาน ดูจะเป็นเรื่องใหญ่และต้องใช้การตัดสินใจอย่างมากทีเดียว เพราะหากเลือกผิดคงไม่ต่างกับการส่งลูกหลานเข้าสู่ปากของ เสือ สิง กระทิง แรด ดังจะเห็นได้จาก ข่าวเสียๆหายๆเกี่ยวกับการศึกษาในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ข่าวอาจารย์ข่มขืนลูกศิษย์ที่ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆไม่เคยว่างเว้นจากหน้าหนังสือพิมพ์ ข่าวนักเรียนยกพวกตีกัน หรือข่าวที่สะเทือนขวัญเด็กนักเรียนไปทั่วประเทศเมื่อหลายปีก่อนกับข่าว นส. จิตรลดา ตันติวณิชยสุข มือมีดที่บุกเข้าไปไล่แทงเด็กๆถึงในโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ และล่าสุดกับข่าวของ นส.อริสรา ทองบริสุทธิ์ หรือ ดิว ดาราวัยรุ่นชี่อดัง ที่มีคลิปหลุดตบนักเรียนรุ่นน้องจนใหล่หลุด เมื่อสมัยที่ยังเรียนมัธยมในโรงเรียนติดแบรนด์แห่งหนึ่งย่านบางรัก สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เรารับรู้ว่าโรงเรียนไม่ใช่สถานที่ ที่พ่อแม่จะสามารถฝากฝังบุตรหลานให้อยู่ในการดูแลได้อย่างปลอดภัยเต็ม100 ได้อีกแล้ว
หยดน้ำตา
“เขาร้องให้แล้วเดินมาบอกพี่ว่า ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากทำการบ้าน คุณครูดุ เขากลัว เขาอยากอยู่บ้าน ”
คุณเก๋ หญิงสาววัย 34 คุณแม่ของลูกชายวัย 6 ขวบ กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ เธอส่งลูกชายวัย เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เธอกล่าวว่าโรงเรียนแห่งนี้เธอตระเวนเลือกให้กับลูกชายกว่า2อาทิตย์ ด้วยหวังว่าจะเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดสำหรับลูกชายของเธอ แต่สุดท้ายเพียงแค่1เทอมที่เข้าเรียน ลูกชายตัวน้อยก็เริ่มโยเยเสียแล้ว
“วันหนึ่ง ตอนเขากำลังกินข้าวเช้า เขาก็พูดว่าไม่อยากไปโรงเรียน วันนี้หยุดได้ไหม ก็บอกว่าไม่ได้ น้องโอมจะหยุดเรียนทำไม ไม่เอาไม่หยุดหรอก เขาก็เลยเงียบไม่พูดอะไรอีก ก็ไปสตราท์รถเปิดแอร์เตรียมไว้ให้เขา เขาร้องให้หนักเลยแล้วเดินมาบอกว่าไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากทำการบ้าน คุณครูดุ เขากลัว เขาอยากอยู่บ้าน ก็ตกใจ โอมเป็นอะไร ? ”
เมื่อน้ำตาของลูกน้อยหลั่งริน ผู้เป็นแม่จึงต้องค้นหาความจริง “ อีกวันก็เลยบอกให้โอมลองไปโรงเรียนดูไหม ตอนกลับบ้านจะพาไปเที่ยวบ้านเพื่อน เขาจึงยอม วันนั้นพี่ก็เลยแอบๆยืนดูครูเขาสอนก่อนกลับบ้าน ก็ตกใจ สอนยากภาษาอังกฤษบางคำพี่ฟังยังงงเลย แต่นี่เด็ก 6ขวบเรียน! สุดท้ายเลยให้เขาออกจากที่นี่เพราะ สงสาร ไม่เอาแล้ว ร้องไห้ไปโรงเรียนทุกวัน”
ในความเป็นจริงแล้ว คงไม่มีพ่อแม่คนไหนต้องส่งลูกไปโรงเรียนด้วยน้ำตานองหน้า แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ลูกน้อยจะได้รับกลับมาแล้ว หลายครอบครัวจึงต้องทำใจยอมรับกับสิ่งเหล่านี้ให้ได้
“เอาจริงๆเลยนะ ไม่ใช่เรียนที่นั่นไม่ดี ภาษาอังกฤษน้องก็ดี พูดได้เป็นประโยคๆ เด็กแถวบ้านยังพูดไม่ได้เลย อาจารย์ก็ดีสมกับที่เขาเป็นโรงเรียนดัง ถึงค่าเรียนจะแพง แต่เขาก็พยายามยัดให้ลูกเราเยอะเหมือนกัน ตอนพาย้ายออกเสียดายมาก แต่เห็นเขาร้อไห้แล้วเราก็สงสาร”
จากมองมุมครู
น.ส.สุภาณี รักษาสุข อาจารย์จากโรงเรียนเอกชนย่านบางซื่อ กล่าวว่า “อาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้มาเกือบ2ปีแล้ว และได้สอนพิเศษหลังเลิกเรียนด้วย มีผู้ปกครองพาเด็กนักเรียนที่มีอาการออทิสติก(อาการของผู้ที่มีพัฒนาการทางสมองช้า) มาเรียนด้วย อาจารย์ตกใจเหมือนกันเพราะรู้สึกว่าการเรียนพิเศษกับเด็กออทิสติกอาจารย์มองว่าเยอะเกินไป เพราะอาจารย์สอนพิเศษภาษาจีน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เด็กปกติยังเรียนเข้าใจได้ยากมาก การทำแบบนี้เหมือนพยายามยัดให้เขามากเกินไป จริงๆไม่น่าพาเขามาเรียนรวมกับเด็กธรรมดาด้วยซ้ำ แต่อาจารย์ปฏิสธเขาไปไม่ได้ เขาก็คงอยากให้ลูกสาวเก่ง มีความสามารถเหมือนเด็กคนอื่นๆ ถึงจะเป็นเด็กที่มีอาการออทิสติกก็ตาม”
เช่นเดียวกับ น.ส. ธิติพร สุทธิบริบาล อาจารย์จากสถาบันสอนพิเศษ Be Top ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนพิเศษของเด็กอนุบาลว่า สอนด็กๆกลุ่มละประมาณ20คน หากถามว่าเร็วไปไหมกับการพาเด็กมาเรียนพิเศษตั้งแต่ยังเรียนอนุบาล มองว่า อยู่ที่ตัวเด็กมากกว่า ถ้าหากว่าเด็กรับได้ เรียนได้เราก็รับ
“สมัยก่อนเคยสอนเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเขาไม่ชอบไปโรงเรียนเพราะโดนเพื่อนแกล้งตั้งแต่อยู่อนุบาล1 แม่เขาต้องให้ลูกหยุดเรียนไปเกือบ2อาทิตย์ จึงพามาเรียนพิเศษที่นี่ เพราะแม่เขากลัวว่าลูกจะสอบเข้าโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ไม่ได้ แม่เขาอยากให้เข้าที่นี่มากเพราะเขาเคยเรียนที่นี่จึงอยากให้ลูกได้เรียนด้วย และเนื่องจากได้ยินมาว่าข้อสอบยาก จึงบังคับลูกสาวมานั่งเรียนกับเราทุกวัน เห็นแล้วก็สงสาร สุดท้ายต้องบอกแม่เขาว่าน้องไม่น่าจะไหว น่าจะให้หยุดเรียนก่อน เพราะน้องซึมมากไม่คุยกับใครเลย” ครูธิติพรให้ข้อมูล
เพราะโลกมันเปลี่ยนไป
“ แป๊ะเจี๊ย ” อีกหนึ่งหนทางทำเงินของทั้งโรงเรียนเอกชนและรัฐบาล ปีละกว่า1,000ล้านบาท คือจำนวนเงินที่พ่อแม่ต้องเสียให้แก่โรงเรียนชื่อดัง เพื่อให้ลูกกลานได้เข้าเรียนสมใจ ว่ากันว่าบางโรงเรียนเรียกเก็บเงินตั้งแต่กรอกใบสมัคกันเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังไม่รวมค่าเรียนพิเศษ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ ค่ากิจกรรมพิเศษ ที่ล้วนแล้วแต่ดูดสตางค์ในกระเป๋าจนตัวเบา
เมื่อโรงเรียนเรียกเก็บเงินกับเหล่าเยาวชนของชาติไม่ต่างกับปลิงตัวอ้วนกลม ที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อมานานหลายปี เด็กๆที่ต้องเติบโตในสังคมที่ใช้เงินเป็นที่ตั้งและเป็นหลักประกันคุณภาพในทุกสิ่งรอบตัว จะเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังของชาติในอนาคตเช่นไร หากนึกไม่ออกคงต้องลองเปิดดูประชุมสภาหรือข่าวการเมืองตามหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆสักครั้ง...
ด้าน นายประยูร มัยโภคา ผู้อำนวยการกลุ่มงานโรงเรียนสามัญ สำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กล่าวถึงกรณีการรับเข้าของโรงเรียนเอกชนซึ่งมีปัญหาในการรับเงินใต้โต๊ะ ว่าการเสียแป๊ะเจี๊ยนั้นอยู่ที่ความพึงพอใจของผู้ปกครอง เรียกว่าการรวมทุนสนับสนุนกับทางโรงเรียนเพื่อให้โรงเรียนมีความโดดเด่น เพราะโรงเรียนรัฐบาลมีทุนจำกัด แต่ว่าโรงเรียนเอกชนต้องขยายอาคารสถานที่ มีสื่ออุปกรณ์การเรียนการสอน ผู้ปกครองยินดีสนับสนุน โรงเรียนประเภทนี้จะโดดเด่น และส่วนมากจะเป็นโรงเรียนในเครือคาทอลิก หรือโรงเรียนที่เป็นเจ้าขุนมูลนายเดิม ที่ตั้งในเครือสำนักพระราชวัง
“ตอนนี้ถึงยุคของการแข่งขันแล้ว ทุกโรงเรียนถ้าผู้บริหารนั่งอยู่กับที่คงก้าวไม่ทันโรงเรียนอื่น เพราะโรงเรียนเอกชนที่อยู่ได้ต้องมีคุณภาพเท่านั้น ส่วนโรงเรียนเอกชนที่ไม่มีคุณภาพไม่มีทางสู้โรงเรียนของรัฐได้ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าใน กทม. เชียงใหม่เขามักจะส่งลูกหลานเข้าเรียนโรงเรียนเอกชน เพราะว่าเขากำกับดูแลใกล้ชิด โรงเรียนเอกชนเจ๊งได้ ส่วนรัฐบาลไม่มีเจ๊ง โรงเรียนเอกชนใดที่สอนแล้วเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้ โรงเรียนเอกชนที่ดังๆจะเห็นได้ว่าผู้บริหารอยู่โรงเรียนตั้งแต่เช้าถึงเย็น บางท่านกินนอนที่โรงเรียนเลย” นายประยูร กล่าว
โรงเรียนติดแบรนด์หรือใกล้บ้าน?
เมื่อมองอีกด้าน แม้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายจะรู้ทั้งรู้ว่าหากนำลูกหลานมาเรียนที่โรงเรียนต่างๆเหล่านี้จะต้องเสียเงินมากมาย เรียกว่าค่าใช้จ่ายต่อเทอมหนึ่งๆเกือบแสน หรือบางที่เมื่อรวมค่ากิจกรรมต่างๆก็คงจะหลายแสนเสียด้วยซ้ำ แต่พ่อแม่ก็ยังต้องการให้ลูกหลานได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดังต่างๆอยู่เช่นเดิม เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?
“จบจากเซนต์โยเซฟคอนเเวนต์ค่ะ เหตุผลที่เลือกเรียน จริงๆตอนที่เข้า ก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกค่ะ แม่อยากให้เข้า เคยถามแม่ว่า ทำไมอยากให้เข้าที่นี่ แม่บอกว่า เพราะสังคมดี การเรียน เรื่องวิชาการการันตีได้ เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง อยู่ใกล้บ้านค่าเทอมไม่แพง เพราะเซนต์โยค่าเทอมแค่หลักพันต้นๆ ส่วนข้อดีจริงๆที่เห็นชัดๆเลยก็คือ สังคมที่ดี แล้วก็เรื่องการสอบแอดมิชชั่น ก็การันตีผลได้ค่อนข้างดี ในขณะที่ โรงเรียนรัฐบาลเองก็มีคนเก่ง แต่เปอร์เซ็นเทียบกันแล้ว เรารู้สึกว่าไม่ได้การันตีขนาดนั้น”
นี่คือความคิดเห็นของ คุณ เอ(นามสมมุต) สาวน้อยที่ได้ผ่านการศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนติดแบรนด์ ย่าน บางรัก เซนต์โยเซฟคอนเเวนต์
อย่างไรก็ตามจาการสำรวจความคิดเห็นของผู้ปกครองและเหล่าเยาวชน ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจากเว็บไซต์ WWW.PANTIP.COM ในคำถาม “คุณจะลือกโรงเรียนแบบใหนให้แก่ลูกหลาน?” ทำให้เรารู้ว่า มนุษย์ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แล้วว่า ควรมอบสิ่งใดให้แก่คนที่ตนรัก แต่ท้ายที่สุด ส่วนลึกของจิตใจยังคง พยายามที่จะยืนให้สูงกว่าคนอื่นๆในสังคมอยู่เสมอ
จากผลโหวตเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2552 ทำให้เราได้รับรู้ว่า สังคมได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อผลโหวตแสดงให้เห็นว่า จาก130คนของผู้ร่วมโหวต มีถึง 56.92 % หรือ 74 คนที่โหวตเลือกการเรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งนับเป็นอันดับ1จาก3อันดับ แต่เมื่อเหลือบมองที่อันดับที่ 2 ก็ทำให้เรารับรู้ว่า ชื่อเสียงและความโด่งดังช่างหอมหวานและยั่วยวนเสมอ กับ 33.85 %หรือ 44คน และอันดับ3กับโรงเรียนเอกชนสุดหรู แม้จะรั้งท้าย แต่อย่างไร ก็ยังคงมีอิทธิพลต่อไปไม่เสื่อมคลาย ที่ 9.23% 12 คน
ลูกมีค่ามากกว่าโรงเรียนติดแบนรด์
จะมีทางเป็นไปได้หรือไม่หากเราต้องการให้สถานศึกษาทั่วประเทศ มีหลักสูตรที่เท่าเทียม? อาจเป็นคำถามที่รู้อยู่แก่ใจของใครหลายคน หรือเป็นคำตอบที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า “ไม่มีทาง”
ด้วยหวังว่า คำพูดและความคิดของ นาย อำนวย โสตะวงค์ คุณพ่อของลูกสาววัย5ขวบ จะเป็นพลังเล็กๆ
และตรงสู่กลางใจของผู้คน กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมของเรา ตลอดไป
“ลูกสาวตัววุ่นวายของผม 5 ขวบ อยู่อนุบาล 2 ผมกับภรรยากำหนดไว้ว่าเมื่อเธอเข้า ป.1 จะให้เข้าโรงเรียนใกล้บ้านที่เดินไปได้ในเวลา 5 นาที แม้จะมีกำลังทรัพย์พอจะส่งให้เธอเข้าโรงเรียนเครือคาธอลิคที่มีชื่อเสียงได้โดยไม่เดือดร้อน แต่ผมกับภรรยาเห็นว่ามันไม่คุ้มกันกับการต้องบีบให้ลูกสาวตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้า งัวเงียมาแต่งตัว กินอาหารและสัปหงกในรถ สลึมสลือไปเข้าเรียน เช่นเดียวกับต้องทรมานกับรถติดช่วงเย็นกว่าจะกลับถึงบ้าน โรงเรียนที่เธอเข้าเป็นโรงเรียนเอกชนเล็กๆ ธรรมดา เดินได้ภายใน 5 นาที เธอสามารถตื่นเจ็ดโมงเช้าสบายๆ อาบน้ำแต่งตัว เล่นกับพ่อแม่ ทานอาหารเช้าที่บ้านกับพ่อแม่ เดินไปโรงเรียนพร้อมคุณแม่ที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน ตกเย็นพ่อก็มารับแล้วกลับไปเล่นกับคุณตาคุณยายที่บ้าน เล่นกับหมาชิวาวาสามตัว ทานอาหารเย็นด้วยกัน ทำการบ้านกับพ่อแม่ ใช้ชีวิตพูดคุยกันจนเข้านอน สำหรับพ่อแม่ใกล้ชิดลูกมีค่าเกินกว่าค่านิยมเลิศหรูของโรงเรียนดังๆ มากนักครับ”
ปัจจุบันในเขตกรุงเทพมหานคร มีโรงเรียนทั้งหมด 1174 แห่ง โดยแบ่งเป็น โรงเรียนมัธยม สพฐ. 734 แห่ง โรงเรียนเอกชน 54 แห่ง โรงเรียนสาธิต 8แห่ง โรงเรียนนานาชาติ(รวมระดับอนุบาลและประถมวัย)82แห่ง และโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร 178 แห่ง นี่เป็นโรงเรียนทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานคร จะเห็นใด้ว่ามีอยู่มากมายและกระจายตัวอยู่ทั่วกรุงเทพมหานคร ท้ายที่สุดแล้วก็คงมีแต่คุณพ่อคุณแม่และลูกๆเท่านั้นที่จะเลือกและกำหนดชิวิตทางการศึกษาของตน
โรงเรียนเอกชนไม่ใช่สิ่งผิด โรงเรียนอินเตอร์ นานาชาติ ไม่ใช่สิ่งผิด โรงเรียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่ใช่สิ่งผิด ไม่มีสิ่งใดผิด หากใช้สติและปัญญาในการตัดสินใจ
การได้ยืนอยู่ในระดับที่เหนือกว่าผู้อื่นในสังคมดูจะเป็นสิ่งที่ยั่วยวนและหอมหวานสำหรับทุกคน มนุษย์พยายามผลักดันตัวเองให้สูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์แข่งขันกันในทุกเรื่องเท่าที่พวกเขาจะคิดได้ และมันเกิดขึ้นกับคนทุกวัย เด็กอนุบาลต้องเรียนในโรงเรียนที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์เสริมทักษะและติดแบรนด์ เด็กประถมต้องเรียนในโรงเรียนที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์พัฒนาความรู้และติดแบรนด์ เด็กมัธยมต้องเรียนในโรงเรียนที่โก้หรูมีชื่อเสียงและติดแบรนด์ ……..
สังคมปัจจุบันกำลังพยายามสร้างเยาวชนที่สมบูรณ์แบบนับตั้งแต่ที่พวกเขาลืมตาดูโลก แต่หารู้ไม่ว่าบางครั้งเยาวชนที่สมบูรณ์แบบจนเกินไปก็คงไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนตร์ที่ถูกส่งเข้าไปประกอบในโรงเรียนติดแบรนด์ แต่ลืมติดหัวใจของมนุษย์เข้าไปด้วย สุดท้ายเมื่อถึงขีดสุดแห่งความสมบูรณ์แบบในทุกสิ่งที่พยายามเติมเต็มให้แก่ตนเองอย่างไม่รู้จบ หุ่นยนต์เหล่านั้นก็คงจะพังด้วยเพราะเกินจะรับใหวและมันคงยากเกินจะเยียวยา
อย่าได้ผลักดันใครไปตามเส้นทางที่เราเคยใฝ่ฝัน แต่จงมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการเป็นกำลังใจให้คนที่คุณรักก้าวไปสู่สิ่งที่ฝั่นใฝ่ให้สำเร็จ ด้วยตนเอง……
แฟชั่นเลี้ยงปลาทะเลเถื่อน ขายเกลื่อนเจเจ
ซากปลาสวยงามที่ตายเพราะน้ำมือมนุษย์
จากการลงพื้นที่สำรวจ สวนจตุจักรซึ่งเป็นแหล่งขายปลายอดนิยมที่ผู้เลี้ยงนิยมไปซื้อปลาทะเลสวยงาม พบว่า มีร้านค้าที่เปิดขายปลาทะเลสวยงามประมาณ 28 ร้านค้า ซึ่งแต่ละร้านจะมีขายปลาที่นำเข้าจากต่างประเทศ และสั่งจากทางใต้ของประเทศไทยโดยปลาที่มาจากต่างประเทศจะมีราคาสูงกว่าปลาในประเทศไทย
เกษตรศาสตร์ และแฟนพันธุ์แท้ทะเลไทย ปี 2546 กล่าวถึงกรณีการลักลอบจับปลาทะเลสวยงามว่า ส่วนใหญ่เป็นการจับมาอย่างผิดกฎหมาย เพราะแนวปะการังที่อยู่อาศัยของปลามักจะอยู่ในเขตพื้นที่อุทยาน ทั้งในไทยและต่างประเทศ อีกทั้งเป็นการทำลายทรัพยากรทางธรรมชาติ โดยเฉพาะทางการท่องเที่ยวที่สูญเสียมาก ถ้าไม่มีปลาเหล่านี้นักท่องเที่ยวก็เลิกสนใจจะดำน้ำ เปรียบเสมือนการทุบหม้อข้าวตัวเอง
ดร.ธรณ์กล่าวต่อถึงการจับกุมดำเนินคดีว่า มีการจับกุมและตรวจตรามากขึ้นในเรื่องของการลักลอบจับปลาทะเลสวยงาม ส่วนการจับกุมมักจะจับได้ในเขตอุทยาน เขตผิดกฎหมาย หรือจังหวัดที่มีการจำกัดเขตสิ่งแวดล้อม อาทิเช่น ภูเก็ต กระบี่ พังงา ที่ได้มีการจับเป็นจำนวนมาก แต่กฎหมายก็มีช่องโหว่คือ ต้องจับกุมขณะที่กระทำความผิด โดยจะเป็นการยึดของกลาง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่อประมง และ ปลา ที่จับมาได้
ดร.ธรณ์กล่าวต่อว่า การจับปลาเป็นเหมือนการทรมานสัตว์ ทำให้ปลาเกิดความเครียดไม่กินอาหารและเสียชีวิต กลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เลี้ยง เพราะปลาบอบช้ำจากการจับที่มีการใช้ยา และอวนในการจับปลา ต้องใส่ถังไว้ 7 – 8 วันกว่าจะเข้าฝั่ง เพื่อให้คุ้มค่ากับการออกไปจับในแต่ละครั้ง ปัญหาอีกอย่างหนึ่งสำหรับผู้เลี้ยงก็คือ ไม่มีเงินทุนมากพอ การเลี้ยงปลาทะเลต้องมีการเซ็ทระบบตู้ปลา ควบคุมอุณหภูมิ ความเค็ม ค่าอาหาร การหมุนเวียนของน้ำ กรองโอโซน จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก การเลี้ยงปลาไม่ได้แปลว่าผิด แต่จะเลี้ยงอย่างไร เลี้ยงแบบอนุรักเพาะพันธุ์ หรือว่าตายแล้วซื้อใหม่ ขึ้นอยู่ที่จรรยาบรรณของผู้เลี้ยง
รองคณบดีกล่าวทิ้งท้ายว่า ปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขในขณะนี้คือการแยกคนดีออกจากคนไม่ดี เพราะคนรักปลาเลี้ยงปลาจริงก็มีมาก ไม่ทำผิดกฎหมายพร้อมสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ คนที่ไม่ดีก็มีอยู่ เหมือนกับอะควาเรี่ยมที่ดี ย่อมยอมลงทุนมากเพื่อการเลี้ยงปลา แต่อะควาเรี่ยมที่เลี้ยงปลาไม่เป็น พอปลาตายก็ซื้อปลาใหม่ ง่ายกว่าพยายามจะรักษาปลา เพราะการรักษามีค่าใช้จ่ายสูง เช่นเดียวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม เรื่องดีก็มีเยอะแต่กลับถูกเหมารวมกันหมดว่าไม่ดี สิ่งที่ควรทำในอนาคตคือการแยกปลาเน่าออกจากเข่ง
ปลาถูกจับอัตราตายสูง
นายสหภพกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้เลี้ยงปลาทะเลสวยงามต้องศึกษาหลายด้าน อันดับแรกคือคุณภาพของน้ำ ปลาทะเลจำเป็นต้องใช้น้ำตามธรรมชาติที่มีมลพิษน้อย ดังนั้นต้องทำให้น้ำในตู้ปลาไม่ให้เกิดของเสีย ระบบบำบัดเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำให้สมบูรณ์ อันดับสองคือความต้องการของปลา ที่มีหลายอย่าง เช่น ปลาใหญ่ต้องกินปลาเล็ก ปลาบางชนิดกัดกันเอง ปลาบางชนิดอยู่ได้ด้วยตัวเอง บางชนิดก็ต้องอยู่รวมกันเป็นฝูงอย่างสุดท้ายคือเรื่องอาหาร ปลาบางประเภทต้องกินอาหารเฉพาะ บางประเภทยอมรับอาหารสำเร็จรูป ควรเลือกเลี้ยงปลาที่กินอาหารง่าย
เขตดินแดงขยะเต็มเมือง!!
ผู้สื่อข่าว “หอข่าว” รายงานต่อว่า เจ้าหน้าที่จะทำการแยกขยะแค่บางส่วนเท่านั้นเนื่องจากต้องเก็บหลายที่ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เมื่อเก็บครบบริเวณที่รับผิดชอบแล้ว รถเก็บขยะทุกคันจะนำขยะมูลฝอยที่เก็บทั้งหมดไปส่งที่สถานีขนถ่ายขยะมูลฝอย โดยสำนักงานเขตดินแดงจะนำไปที่สถานีขนส่งมูลฝอยอ่อนนุช เพื่อเป็นหน้าที่รับผิดชอบของหน่วยงานเอกชนที่ถูกว่าจ้างให้กำจัดขยะ เริ่มแรกเป็นการแยกขยะออกเป็นสามส่วน คือ ขยะเปียก ขยะแห้งหรือขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย โดยขยะเปียกจะนำไปผ่านกระบวนการหมักเป็นปุ๋ยชีวภาพ ขยะแห้งหรือขยะรีไซเคิลนำไปแปรรูปให้เป็นมูลค่าตามชนิดของขยะนั้นๆ ส่วนขยะอันตรายทางหน่วยงานนำไปกลบฝังดินเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายและเพื่อลดปริมาณขยะได้ด้วย
นายวัชระ บุญรัก พนักงานเก็บขยะเขตดินแดง เปิดเผยถึงเวลาในการจัดเก็บขยะของพื้นที่เขตดินแดง ว่าจะเริ่มจากช่วงเวลา01.00 น.-03.00 น.แต่ถ้าหากบริเวณใดมีจำนวนขยะเป็นจำนวนมากก็จะยืดเวลาออกไป จนถึงประมาณ 6.00 น. การเก็บขยะเจ้าหน้าที่จะทำการแยกขยะซึ่งจริงๆแล้วจะต้องถูกแยกมาก่อนที่จะเก็บ แต่บางบริเวณไม่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดทำให้ขยะปะปนกัน เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องเข้ามาจัดการเพื่อจะได้ง่ายต่อการนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
“หลังจากทำการเก็บขยะเรียบร้อยแล้ว รถเก็บขยะทุกคันต้องเดินหน้าไปที่สถานีขนถ่ายมูลฝอย เพื่อทำการแยกขยะและกำจัดขยะต่างๆ ซึ่งสถานีขนถ่ายขยะมี 3 ที่ คือ อ่อนนุช ซอยวัชรพล และหนองแขม โดยเขตดินแดงนั้นต้องไปที่สถานีที่อ่อนนุช เพื่อให้องค์กรเอกชนรับหน้าที่ต่อในการดำเนินการต่างๆ โดยคำนึงถึงเรื่องการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ให้มากที่สุดและเพื่อช่วยลดปริมาณขยะล้นเมือง” นายวัชระ กล่าว
ว่าที่ ร.ต.ฤทธิพันธ์ นันทศุภกร หัวหน้าฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สำนักงานเขตดินแดง ให้ความเห็นถึงการจัดการขยะในเขตรับผิดชอบว่า เขตดินแดงมีการจัดการและดูแลการเก็บขยะโดยเน้นการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุด เพราะเขตดินแดงเป็นพื้นที่ที่มีขยะมากเป็นลำดับที่ 4 ของประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่น การนำขยะสดมาผ่านกระบวนการที่ทำให้สามารถนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ใหม่ และที่ผ่านมากระบวนการดังกล่าวก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
“ขยะส่วนใหญ่ในพื้นที่เขตดินแดงจะเป็นขยะสดตามตลาดต่างๆ ขยะในพื้นที่เขตดินแดงทั้งหมด 100% มีขยะสด 40% ขยะพวกวัสดุก่อสร้าง 40% และขยะอันตรายอีก 20% ทางเขตดินแดงได้หาวิธีการในการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ ด้วยการนำขยะสดมาหมักใส่ไว้ในถังขนาด 400 ลิตร ซึ่งผสมเข้ากับจุลินทรีย์จะทำให้ได้น้ำชีวภาพที่จะนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก เช่น นำไปรดน้ำต้นไม้ นำไปถูบ้านเพื่อไล่แมลงวัน หรือนำไปเช็ดคาบอาหารพวกไขมันที่ติดอยู่ในจาน ชาม ที่เราใช้ในการรับประทานอาหาร เป็นต้น ซึ่งหลังจากที่สำนักงานเขตดินแดงได้ทดลองวิธีการขั้นต้นแล้วผลออกมาดีเป็นที่พอใจอย่างมาก” ว่าที่ ร.ต.ฤทธิพันธ์ กล่าว
หัวหน้าฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาทางสำนักงานเขตได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปฝึกอบรมชาวบ้าน ภายในบริเวณเขตดินแดง รวมถึงสถานที่ทางราชการต่างๆไม่ว่าจะเป็น ศูนย์ฝึกวิชาทหาร แฟลตดินแดง หรือหน่วยงานต่างๆภายในบริเวณให้ได้รับความรู้และนำไปใช้ โดยการจัดตั้งที่กักเก็บเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานเพื่อใช้หมัก ขณะเดียวกันเศษขยะที่เหลือจะนำส่งไปที่สำนักงานขยะมูลฝอยอ่อนนุช ส่วนขยะที่ย่อยสลายยากทางสำนักงานจะจ้างบริษัทเอกชนมารับเหมาในการกำจัดขยะ ซึ่งทางบริษัทเอกชนจะนำขยะที่เป็นพวกวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่มาอัดให้เป็นก้อนกลมและนำไปใช้ในการถมที่
“ส่วนการเดินทางเก็บขยะของพื้นที่เขตดินแดงเราดำเนินการตามนโยบายของกรุงเทพมหานคร โดยเรามีแผนที่ในแต่ละวัน มีการดูคอมพิวเตอร์ของสำนักงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ขับรถขยะทุกคันต้องใช้เวลาวิ่งให้น้อยที่สุด ใน 1 วัน ต้องวิ่ง 2 เที่ยว เที่ยวละ 2 ชั่วโมง ต้องคำนวณตั้งแต่เวลาในการเก็บจนกระทั่งการขนถ่ายไปสู่สถานีขนถ่ายมูลฝอย ซึ่งปัจจุบันทางกรุงเทพมหานครได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นระบบ จีพีเอส(GPS) มี แบ๊คบ๊อก(Black Box) ติดอยู่ที่รถขยะทุกคัน เพื่อตรวจสอบการทำงานของคนขับรถทุกคนว่ามีการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายมากน้อยเพียงใด” ว่าที่ ร.ต.ฤทธิพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ข้อมูลจากองค์กรสมาคมสร้างสรรค์ไทย (ตาวิเศษ) ระบุว่า การสร้างจิตสำนึกให้กับทุกคนในการรณรงค์ว่าการแยกขยะเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก เพราะปัจจุบันคนส่วนใหญ่ทิ้งขยะอย่างไม่รู้คุณค่า ขยะบางชนิดสามารถนำกลับมาใช้ได้ และเป็นการเพิ่มมูลค่าเและสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองอีกทางหนึ่ง เมื่อขยะจำนวนน้อยลงจะทำให้ปัญหาโลกร้อนลดลง เช่นกัน
ต่างประเทศกับวิธีการแยกขยะและการเก็บขยะ
ประเทศสหรัฐอเมริกา การใช้สีของถังขยะเป็นตัวแยกขยะ คือ ถังขยะสีดำ ประเภทขยะเปียก เศษอาหารต่างๆ สีเขียวใส่เฉพาะกิ่งไม้ใบหญ้า สีฟ้าเฉพาะขยะรีไซเคิล และถังขยะสีเหลือง สำหรับเศษขยะประเภทโฟมต่างๆ โดยที่รถเก็บขยะจะมาในทุกเช้าของวันพฤหัสบดีแล้วแต่ว่ารถเก็บประเภทไหนมาก่อน โดยใช้คนเก็บขยะเพียงแค่คนเดียวและมีเครื่องยกขยะแบบไฮโดรลิก
อ้างอิงจาก :: http://www.kradandum.com/essay/20050822.html
ประเทศญี่ปุ่น มีการแบ่งแยกประเภทขยะเป็น 4 ชนิด คือ 1. ขยะเผาได้ (ขยะจากครัวและขยะเล็กๆน้อยๆ) 2. ขยะเผาไม่ได้ (ขวดแก้ว กระป๋อง ขวดพลาสติก) 3. ขยะขนาดใหญ่ (เครื่องคอมฯ ตู้เย็น) 4. ขยะรีไซเคิล (กระดาษต่างๆ) 5.ขยะที่ต้องแจ้งหน่วยงานให้มาเก็บ (เครื่องดนตรีขนาดใหญ่ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและซากสัตว์) โดยมีวันเวลาที่กำหนดแน่นอนในการจัดเก็บขยะของเจ้าหน้าที่ คือ ขยะเผาได้และขยะทั่วไปในวันอังคารและวันศุกร์ ก่อน 09.00 น. วันพุธที่สองและพุธที่สี่ของเดือน กำหนดเป็นวันทิ้งขยะประเภทขวดแก้ว และกระป๋องเครื่องดื่ม วันพฤหัสบดีที่สองและที่สี่ของเดือน เป็นวันทิ้งขยะขนาดใหญ่ วันจันทร์ที่สามของเดือน เป็นวันทิ้งขยะรีไซเคิล อ้างอิงจาก :: http://www.japankiku.com/tour/garbage_japan.
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
แฉรูปแบบโกงเกมส์เปลี่ยนนิสัยเด็กไทย
จากการสำรวจผ่านเว็บไซต์ กูเกิ้ล(Google)เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 โดยค้นหาคำสำคัญที่เกี่ยวกับโปรแกรมโกงเกมส์ พบว่าส่วนใหญ่จะมีผลการค้นมากกว่าล้านครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมาก เช่นคำว่า”โปรแกรมโกงเกม”พบผลลัพท์ 1,030,000 รายการ “โกงเกมส์”พบผลลัพท์ 1,420,000 รายการ “บอท”พบผลลัพท์ 6,400,000 รายการ “โปร”พบผลลัพท์ 21,100,000 รายการ เป็นต้น โดยจะมีเว็บไซต์แจกโปรแกรมโกงเกมส์ และสูตรเกมส์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เช่น เว็บPramool เว็บAll2BOT และเว็บThaigamingเป็นต้น
นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิตอธิบายถึงกรณี การเปิดเชิร์ฟเวอร์เถื่อนว่า ปกติเกมส์ออนไลน์แต่ละเกมส์จะเป็นของค่ายเกมส์ต่างๆเช่น เอเซียซอร์ฟ(Asiasoft),(ฟันบ๊อก)Funbox ฯลฯ จะมีการเปิดเซิร์ฟเวอร์ของเกมส์ตามลิขสิทธิ์อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งผู้เล่นจะต้องเสียเงินซื้อบัตรเติมเวลาในการเล่นแต่ละวันหรือเป็นเดือน และใช้เวลาในการเล่นนานกว่าจะได้สิ่งของต่างๆตามต้องการ แต่เซิร์ฟเวอร์เถื่อนจะเป็นการใช้โปรแกรมโกงก๊อปปี้ตัวเกมส์ออกมา และผู้โกงจะต้องทำการเช่าพื้นที่ซึ่งเรียกว่า โคโลเคชั่น (colocationการให้บริการพื้นที่ตั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์) เพื่อทำการเปิดเซิร์ฟเวอร์
“ผู้เล่นที่เล่นเซิร์ฟเวอร์เถื่อนจะไม่ต้องเสียเงินเพื่อซื้อบัตรเติมเวลาในการเล่นแต่ละวันหรือเป็นเดือน แต่เซิร์ฟเวอร์เถื่อนจะมีรูปแบบในการเรียกเก็บเงินจากผู้เล่น คือผู้เล่นจะต้องเสียเงินซื้อบัตรเติมเงินโทรศัทพ์ไปแลกกับสิ่งของในเกมส์ที่ตนอยากได้แทนการซื้อบัตรเติมเวลาในการเล่นแต่ละวัน ซึ่งเป็นช่องทางหาเงินของผู้ที่เปิดเซิร์ฟเวอร์เถื่อน เมื่อได้รหัสบัตรเติมเงินแล้วผู้เปิดเซิร์ฟเวอร์เถื่อนจะทำการคีย์รหัสข้อมูลสิ่งของต่างๆที่ผู้เล่นร้องขอ ผู้เล่นก็จะได้สิ่งของตามต้องการ เซิร์ฟเวอร์เถื่อนผู้เล่นจะใช้โปรแกรมโกงต่างๆได้อย่างอิสระจึงทำให้เล่นได้ไวกว่าเซิร์ฟเวอร์ปกติหลายเท่าตัว” นายวีรศักดิ์ กล่าว
นายจิรายุทธ แจ้งวัฒนะ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยว่า เกมส์ออนไลน์เกือบทุกเกมส์จะมีโปรแกรมโกงตามออกมาด้วยเช่น แร๊คนาร๊อค (Ragnarok) เมเปิ้ลสตอรี่ (Maplestory) เป็นต้น ซึ่งโปรแกรมโกงเกมส์ประภทนี้จะหาง่าย ทั้งในเว็บและจากเพื่อนที่เล่นเกมส์ด้วยกัน ทำให้ในปัจจุบันการโกงเกมส์กลายเป็นเรื่องธรรมดา
นายจิรายุทธกล่าวว่า ใช้โปรแกรมโกงเพื่อช่วยเล่นเกมส์เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาว่างในการเล่น และเกมส์ที่เล่นมีการเก็บเลเวล(Level) หากเลเวลไม่เยอะพอก็ไม่สามารถเอาชนะผู้อื่นในเกมส์ได้ และทำให้เล่นตามผู้อื่นไม่ทัน เพราะส่วนมากจะใช้โปรแกรมโกงเกมส์กันทั้งนั้น
“คนที่นำโปรแกรมโกงเกมส์ต่างๆมาโพสต์ส่วนมากจะเล่นอยู่ในเกมส์ออนไลน์นั้นๆด้วย โปรแกรมโกงเกมส์จะมี2แบบคือ เสียเงินกับไม่เสียเงิน จะต่างกันตรงที่ความปลอดภัย โปรแกรมที่เสียเงินจะมีระบบความปลอดภัยสูงกว่าโปรแกรมที่ไม่ต้องเสียเงิน เช่นหาก จีเอ็ม(GM ผู้ตรวจสอบการใช้โปรแกรมโกงในเกมส์ออนไลน์ของค่ายเกมส์แต่ละเกมส์) ออนไลน์เข้าตรวจสอบภายในเกมส์ ระบบของโปรแกรมจะปิดตัวเองโดยทันทีเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ ส่วนวิธีการซื้อขายก็เพียงนำบัตรเติมเงินหรือโอนเงินเข้าบัญชีเพื่อแลกกับรหัสที่ใช้ในการล็อกอินโปรแกรมโกง”นักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าว
ด้านนายพีริทธิ์ ปิติบาตร นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผู้ที่ไม่เคยใช้โปรแกรมโกงในการเล่นเกมส์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่ผู้ที่เล่นเกมส์จะเล่นเพื่อความผ่อนคลาย ประโยชน์จากการเล่นเกมส์ด้วยตนเองคือได้ฝึกทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ ฝึกการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า นำมาปรับเปลี่ยนใช้กับชีวิตประจำวันได้ ที่สำคัญในบางเกมส์จะใช้ภาษาอังกฤษในการโต้ตอบพูดคุย ทำให้ผู้เล่นมีความรู้เพิ่มเติมเรื่องภาษาอังกฤษมากขึ้นได้
“คนที่ใช้โปรแกรมโกงผมมองว่าไม่มีความสามารถพอที่จะเล่นเกมส์ได้ด้วยตนเอง อนาคตคงทำอะไรเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้อื่นตลอดเวลา อยากให้มีการกวาดล้างโปรแกรมโกงเกมส์ต่างๆอย่างจริงจัง เพราะตอนที่เล่นเกมส์แล้วเจอคนที่ใช้โปรแกรมโกงผมรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ ทุกวันนี้มีคนที่ใช้โปรแกรมโกงเกมส์เยอะมาก จนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว” นักศึกษจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าว
วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
รุกฆาต : จากลานมะพร้าว สู่ กูเกิ้ลจีน
เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา มีหัวข้อหนึ่งที่น่าติดตามบน Twitter ของผู้ใช้ท่านหนึ่ง นั่นคือคุณ@dr_mana ที่ประกาศข้อความว่า “ …ขอประนามการคุมคามเสรีภาพการนำเสนอข่าวของนสพ.ฝึกปฏิบัติ"ลานมะพร้าว"และที่มหาวิทยาลัยอื่นๆ…”
เมื่อติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม จึงทราบถึงความขัดแย้งระหว่างหนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติ กับผู้บริหารมหาวิทยาลัย กล่าวคือหลังจากนสพ.ลานมะพร้าวฉบับกำแพงนิวส์ ประจำวันที่ 15 ธันวาคม 2552 ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติของนักศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เสนอข่าวผลการหยั่งเสียงในมหาวิทยาลัยถึงคะแนนนิยมต่อผู้ที่จะเป็นอธิบการบดีคนใหม่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของประวัติศาสตร์ หนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติประเทศไทย ก่อนหน้านี้หลายคนคงมีโอกาส ได้ติดตามกรณีที่คล้ายคลึงกันของหนังสือพิมพ์ จันเกษมโพสต์ และอีกหลายฉบับในหลายมหาวิทยาลัย ที่โดนถางความคิดที่มีอิสรภาพ จนโล่งเตียน